จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จับปูดำ ขยำปูนา บทที่ 1 ตอนที่ 1



เสียงนั้นดังหวิว ๆ มาแต่ไกล แล้วก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาจนผมได้ยินถนัด มันเป่าอยู่ที่รูหูผมนี่เอง ดังออกมาเป็นเสียงว่า “ พี่ พี่ ” เบา ๆ

แล้วผมก็รู้สึกว่ามีมือมาเขย่าที่ท่อนแขนส่วนบนของผมแรง ๆ

ผมรู้สึกตัวตื่น

ไอ้แสงบ้านั่นมันแยงนัยน์ตาผมเสียจนต้องรีบหลับตาลงใหม่ ผมยังบอกตัวเองไม่ถูกว่ามันเป็นแสงอะไร ภวังค์ของผมเพิ่งจะถูกปลุกขึ้นมาใหม่ ๆ ยังตั้งสติไม่ได้ เสียงประตูมุ้งถูกแหวกออก แล้วก็มีเสียงของคนที่เรียกและเขย่าตัวผมอยู่นั้นร้อง "ว้าย" ออกมาดัง ๆ คำเดียวแล้วก็เงียบ

ผมพลิกตัวแพล็บเดียวทั้ง ๆ ที่นัยน์ตายังไม่ทันลืมขึ้นมาใหม่ เท้าของผมข้างหนึ่งยันออกไปด้วยสัญชาตญาณไปทางด้านที่ผมเห็นไอ้แสงบ้านั่นมาแยงนัยน์ตาเมื่อกี้นี้ เท้าข้างนั้นปะทะเข้ากับร่างใครคนหนึ่งถนัดถนี่ พร้อมทั้งไอ้ลำแสงที่แยงนัยน์ตาผมหลุดกลิ้งลงบนที่นอน ผมจึงมองเห็นว่ามันเป็นร่างของใครคนหนึ่งแอ่นหงายกลับออกไป

ผมเผ่นพรวดเดียวลุกขึ้นยืน พอดีกับร่างของหมอนั่นเซไปโดนชายมุ้ง มุ้งทั้งหลังขาดหลุดลงมา ผมอยู่ในท่าที่ได้เปรียบกว่า ผมตวัดมุ้งที่หล่นลงมาครอบนั้นพรวด ๆ จนพ้นหัวออกมาได้ ไอ้เสือนั่นยังวุ่นวายอยู่ในมุ้งที่คลุมร่างของมัน พยายามที่จะแหวกออกมา

ผมมองเห็นว่าส่วนไหนเป็นหัว ส่วนไหนเป็นลำตัวภายในมุ้งนั้น ผมวาดเท้าไปเต็มเหนี่ยวตรงที่เห็นว่าเป็นศีรษะ มีเสียงร้องดังอุ้บมาจากข้างในนั้น ไอ้ร่างนั้นก็หมุนม้วนกลับหันสีข้างมาทางผม ผมเหวี่ยงเท้าไปที่สีข้างอีกที แล้วที่ลำตัวอีกที พร้อมทั้งกระทืบซ้ำลงไปที่ร่างที่งอก่ออยู่ในมุ้ง มันยังดิ้นจะหาทางออกอยู่ภายในนั้น

อะไรสิ่งหนึ่งกลิ้งหลุน ๆ ออกมาจากความยุ่งเหยิงของมุ้ง มันเป็นกระบอกไฟฉายขนาดห้าท่อน ไอ้นี่เองที่เป็นต้นแสงที่แยงนัยน์ตาของผมเมื่อกี้นี้ ผมก้าวไปคว้ามันมาไว้ในมือ ไอ้ร่างนั้นยังดิ้นขลุกขลักควานหาทางออกอยู่

ผมประเคนกระบอกไฟฉายห้าท่อนอันนั้นลงไปบนส่วนที่เป็นหัวของมัน เสียงดัง “ โพละ ” ไอ้ร่างนั้นหลุดดิ้น มันครางครอก ๆ สอง – สามทีแล้วก็เงียบไม่ไหวติง

ผมยืนหอบอยู่ครู่หนึ่ง มองไปรอบ ๆ ห้อง แสงสลัว ๆ ของอากาศภายนอกลอดเข้ามาพอมองเห็นอะไร ๆ ข้างในห้องได้ราง ๆ ผู้หญิงคนที่ส่งเสียงเรียกผม และเป็นเจ้าของเสียง ‘ว้าย’ เสียงนั้น ยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง หล่อนไม่นุ่งผ้า ได้แต่ใช้มือทั้งสองข้างปิดอวัยวะอันพึงสงวนของหล่อนทั้งข้างบนข้างล่างอยู่ นัยน์ตามองผมอย่างหวั่น ๆ

ผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเองว่า – ขอโทษ – ผมก็อยู่ในสภาพเดียวกับหล่อน

ผมเลิกมุ้งขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะร่างไอ้หมอนั่นซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครมันงอก่อทับอยู่ ผมควานเอากางเกงในของผมออกมานุ่งก่อน แล้วขึงปลดเอากางเกงของผมที่ผมจำได้ว่า ผมแขวนมันไว้ที่ฝาห้องมานุ่ง ผมเลิกมุ้งออกจนหมด เหวี่ยงออกไปพ้นที่นอน ร่างของไอ้เสือนั่นยังไม่ฟื้น นอนงอคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น
ผมฉายไฟดูหน้ามัน – ผมไม่รู้จัก – ไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ ผมจับชีพจรมัน ยังเต้นอยู่แผ่ว ๆ มันยังไม่ตาย ผมแหงนหน้าไปทางผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าแอบหยิบผ้าถุงของหล่อนมานุ่งเมื่อไร พยักหน้าให้หล่อนเข้ามาหา ชี้ไปที่ร่างของไอ้หมอนั่นแล้วถามหล่อนว่า
“ ผัวเรอะ ? ”
แม่คนนั้นสั่นหน้าทันที ทั้ง ๆ ที่ยังย่างเข้ามาไม่ถึงที่ผมยืนฉายไฟไปที่ใบหน้าไอ้ร่างนั้น
“ ไม่ใช่ ” หล่อนพูดเสียงสั่น ๆ “ หนูไม่เคยมีผัว ”
“ แฮะแอ้ ” ผมร้องแล้วจุ๊ปาก “ เดี๋ยวโดนตบ ”
ผมเงื้อมือ แม่นั่นถอยออกไปห่าง พร้อมกับสั่นหน้าเร่า ๆ
“ ใครก็ไม่รู้ ” เสียงของหล่อนยังมาหายสั่น “ หนูไม่เคยมีผัวจริง ๆ ไม่รู้จักจริง ๆ ”
ผมมองดูร่างนั้นที มองดูหล่อนที แล้วพูดว่า
“ ถ้างั้น มันเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ยังไง ”
“ ไม่รู้ซีพี่ ” แม่นั่นรีบตอบ “ หนูได้ยินเสียงก๊อกแก๊กอยู่นานแล้ว หนูจึงเรียกพี่ ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวตั้งหลายที กว่าพี่จะตื่นมันก็เปิดมุ้งเข้ามาพอดี หนูยังถูกมันตบเอาทีหนึ่งตอนหนูร้อง ”

ผมก้าวไปเลิกหมอน หยิบเอาปืนของผมที่สอดไว้ตั้งแต่ตอนเข้านอนมาเหน็บที่เอว คว้าเสื้อมาสวม ผมยัดชายเสื้อเข้าขอบกางเกงเสร็จเรียนร้อย ไอ้นั่นก็ค่อย ๆ พลิกตัว

ผมให้แม่คนนั้นเปิดไฟในห้อง

ไอ้เสือนั่นนอนนิ่งลืมตามองดูผม เพราะปากกระบอกปืนของผมจ้องนิ่งตรงนัยน์ตามันพอดี

“ อย่าขยับ ” ผมเน้นเสียงออกมา “ นอนนิ่ง ๆ อย่างนั้น แล้วบอกอั๊วมาว่าลื้อเป็นใคร เข้ามาทำไม และต้องการอะไร ”

มันไม่พูด จ้องรูลำกล้องปืนนิ่ง แล้วก็เปลี่ยนสายตามามองผม

หน้าตามันเหมือนนักโทษเพิ่งหลุดออกมาจากตะราง คางเหลี่ยม นัยน์ตาโปน ผมหยิก และอายุในราวสามสิบเศษ ๆ ทั้งเสื้อทั้งกางเกงของมันดำสนิทกลืนกับความมืดดีนัก

ผมง้างนกปืนลูกโม่ของผมดังกริ๊ก

“ ลื้อไม่อยากพูดกับอั๊ว จะไปพูดกับยมบาลหรือยังไง อั๊วถามว่าลื้อเป็นใคร เข้ามาทำไม และต้องการอะไร ”
มันนิ่ง สายตาของมันไม่บอกว่ามันกลัว

“ พาผมไปโรงพักดีกว่า ” มันพูดออกมา หลังจากที่นิ่งจ้องมองผมอยู่นาน

“ อยากเข้าตะราง ว่างั้นเถอะ ” ผมพูดปนเสียงหัวเราะ
มันยิ้มนิด ๆ อย่างคนไม่กลัวความตาย แล้วพูดอีกว่า
“ พาผมไปโรงพักดีกว่า ”

“ ตามใจ ไอ้เพื่อนยาก ” ผมว่า “ งั้นลุกขึ้น แต่ว่าช้า ๆ นะ อย่าให้อั๊วตกใจ ”

มันค่อย ๆ ยันร่างขึ้นในท่านั่ง แล้วใช่มือทั้งสองข้างยันพื้นที่นอนเพื่อที่จะดันตัวขึ้นมาในท่ายืน หัวของมันก้มลงมองดิน ผมมองดูที่มือของมัน มันกดมือลงแน่นในจังหวะที่จะสปริงตัวขึ้น

ผมเหวี่ยงเท้าข้างขวาผึงออกไปได้จังหวะที่ใบหน้าของมันที่แหงะขึ้นมาจากท่าเตรียมสปริงตัว

เสียงดังพล๊อกหนักแน่น แล้วทั้งมือทั้งตีนของมันก็ลอยผงะไปกลางอากาศ กลับลงนอนแผ่อยู่บนที่นอนอีก แต่ว่าคราวนี้เหยียดแผ่ทั้งมือทั้งตีน หลับตาพริ้ม

ผมลงมือค้นตามตัวของมัน ทั่งกระเป๋าเสื้อและกางเกง ไม่พบอะไรอื่นอีก ไม่มีแม้แต่อาวุธและอะไรทั้งสิ้น มันไม่ได้พกอะไรเลย

แม่คนนั้นถอยออกไปยืนตัวสั่นอยู่ที่กลางห้องอีก

ในกระเป๋ากางเกงของผมมีกุญแจมือขนาดเล็กชนิดใช้ใส่แค่เพียงหัวแม่มือ ผมล้วงมันออกมาแล้วขัดการใส่มันเข้ากับหัวแม่มือทั้งสองข้างของไอ้หมอนั่น มันยังไม่ฟื้น

ผมหันไปทางแม่คนนั้นซึ่งผมก็จำชื่อหล่อนไม่ได้ว่ามันจะเป็น ‘ เพ็ญ ’ หรือ ‘ พร ’ หรือ ‘พวง ’ ก็ไม่รู้ เพราะที่หล่อนบอกผมไว้เมื่อคืนนี้ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะจำ ผมพูดกับหล่อนว่า
“ ฉันจะพาไอ้เสือนี่ไปโรงพัก ฉันเป็นหนี้น้องสาวอยู่เท่าไหร่ คิดมาเสีย ”

หล่อนสั่นหน้าอยู่ตรงที่เดิม “ ไม่ต้องหรอกพี่ ” เสียงก็ยังสั่นอยู่อีก “ พี่ไปเสีย เผื่อพวกมันมาอีก หนูจะทำยังไงล่ะ ”

ผมยืนเกาหัว ไม่รู้ว่าจะยังไงเหมือนกัน แล้วผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนหล่อนไม่ได้
“ ไม่หรอกน่ะ ” ผมพูดส่ง ๆ ออกไป “ มันมาเล่นงานฉันมากกว่าเธอ ถ้าฉันยังอยู่ซีมันอาจจะมาอีก ฉันไปเสียมันก็ไม่มา คิดมาเถอะเท่าไหร่ ”

หล่อนมองดูผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า
“ แล้วแต่พี่เถอะ หนูไม่เคยเรียกราคากับใคร ”

หล่อนจะพูดจริง หรือจะเข้าใจพูดก็ไม่รู้ แต่ว่าอาจจะจริง เพราะผมหิ้วหล่อนมาจากไนท์คลับชั้นดีแห่งหนึ่งเมื่อคืนนี้ ผมล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋าสองร้อยบาทส่งให้หล่อน

หล่อนมองดูเงิน มองดูผม แล้วค่อย ๆ เดินมาหา รับเงินในมือผมไป พร้อมกับยกมือไหว้ ไม่พูดอะไร

ผมคว้ามือไอ้เสือนั่นข้างหนึ่ง แล้วลากมันออกมาจากห้องนั้น มันยังไม่ฟื้น

ผมรู้จักว่าที่ตรงนั้นขึ้นกับโรงพักท้องที่ไหน ผมยัดร่างไอ้หมอนั่นซึ่งยังไม่ตื่นเข้าไปบนรถจี๊ปของผม บึ่งมาพักเดียวก็ถึงโรงพัก ตอนนั้นรุ่งสางพอดี ผมดูนาฬิกามันบอกเวลาหกโมงกว่า ๆ มันฟื้นลืมตา เมื่อผมดึงมันลงมาจากรถอีกที ผมจึงไม่ต้องลากมันอีก คราวนี้มันเดินลากขาตามผมไป

สารวัตรท้องที่เป็นนายตำรวจรุ่นพี่ เขานั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานภายในเครื่องแบบพันตำรวจตรี ผมจูงไอ้เสือนั่นเข้าไปหาเขา เขาเงยหน้ามองผล แล้วยิ้มให้เหมือนกับว่าเขาคอยพบผมอยู่แล้วยังงั้น ไม่ได้แสดงกิริยาแปลกอกแปลกใจอะไรเลย เมื่อผมผลักไอ้นั่นไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วยกมือไหว้เขา

“ สวัสดี คุณยอดทวน ” เขาเอ่ยขึ้นมาก่อนผมเสียอีก “ เอาอะไรติดมือมาด้วยนั่น ” เขาพยักหน้าไปทางไอ้นั่น
“ สวัสดี พี่ ” ผมว่า พลางลากเก้าอี้มาตรงหน้าเขา “ ของฝาก ผมเอามาให้พี่ยุ่งกับมันเล่น ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร มันเข้าไปเล่นงานผมหรืออะไรก็ยังไม่รู้ แต่มืด ”

เขาปรายตาไปที่ไอ้นั่นอีกแวบหนึ่ง แล้วกดกริ่งบนโต๊ะ
“ เอาไปขัง ” เขาออกคำสั่ง แล้วชี้ไปที่ไอ้นั่น

ผมโยนกุญแจนิ้วให้นายสิบเวร เขารับมันไปไขนิ้วไอ้นั่นแล้วกลับส่งมาให้ผมทั้งลูกทั้งตัวกุญแจ แล้วก็จับศอกไอ้นั่น ดึงเอาตัวออกไป

“ ผมอยากจะรู้ว่ามันเป็นใคร และเข้าไปหาผมในห้องนอนทำไม ” ผมพูด “ พี่ช่วยสอบให้ผมรู้ด้วย ”
เขาหัวเราะ ไม่พูดไม่ถามอะไร กลับหันไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้าง ๆ ตัว ดึงเอาซองหนังสือราชการอันหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งให้ผม

ผมรับซองนั้นมาอย่างงง ๆ ที่หน้าซองมีชื่อของผมเป็นผู้รับ และที่เหนือชื่อของผมที่มุมซองมีข้อความ ‘ลับเฉพาะ’ ผมมองดูเขาอย่างจะตั้งคำถาม เขาพูดว่า

“ ผมได้รับคำสั่งให้ส่งซองนี้ให้คุณ ถ้าคุณมาวันนี้ ”

ผมมองดูซองในมือแล้วมองดูเขา บนใบหน้าของเขามีแต่ความว่างเปล่า อันที่จริงใบหน้าของตำรวจแทบจะทุกคนก็ต้องเป็นยังงั้น ถ้าเขาไม่อยากจะพูด

ผมฉีกซองออก อ่านข้อความในหนังสือที่อยู่ในซองนั้น มันมีข้อความว่า

ถึงร้อยตำรวจโท ยอดทวน ธงไทย
ให้ท่านไปรายงานตัวต่อข้าพเจ้า ณ ที่ห้องพิเศษ เลขที่ ๕๐๔ โรงแรมเอราวัณ ในวันที่ได้รับหนังสือนี้
เวลา ๐๘.๐๐ น.
ลงนาม พันเอก เยี่ยม วีรพล
ผบ. หน่วย ๔๐๔ กรป.

ข้อความในนั้นมีเท่านี้ ไม่มีวันที่ ไม่มีเลขหนังสือ

ผมอ่านข้อความนั้นอีกทีให้มันแน่ใจ มันก็ยังอ่านได้ความยังงั้นอยู่ ผมแหงนหน้าขึ้นมองสารวัตรรุ่นพี่คนนั้น แล้วว่า
“ อธิบายให้ผมเข้าใจให้แจ่มแจ้งกว่านี้สักหน่อยได้ไหมครับ ไอ้หนังสือนี้มันมาบังไงไปยังไงกัน ถึงผมแน่หรือ ”

เขายิ้ม “ ชื่อของคุณใช่ ร้อยตำรวจโท ยอดทวน ไหมล่ะ ”

ผมพลิกซองดูชื่อที่หน้าซองอีกที แล้วเกาหัว
“ พี่ก็รู้จักผมดีอยู่ ไม่น่าถาม ผมอยากรู้ว่ามันไปยังไงมายังไงกัน แล้วถ้าเผื่อผมไม่มาที่นี่ เพราะเกิดเรื่องกับไอ้เสือนั่นวันนี้ หนังสือนี้จะถึงมือผมได้ยังไง ”

เขายักไหล่ “ ผมได้รับคำสั่งมาแต่เพียงเท่านี้จากเบื้องบน ว่าถ้าคุณมาที่นี่วันนี้ก็ให้ผมส่งซองนี้ให้คุณ ไม่มีรายละเอียดอย่างอื่นอีก ไม่ได้บอกว่าถ้าคุณไม่มาจะให้ผมทำอย่างไรกับหนังสือฉบับนี้ ”
“ ก้อ ถ้าเผื่อผมไม่มา ผมมาเพราะมันมีเรื่องต่างหาก ”

“ ข้างบนคงจะรู้มั้งว่าคุณต้องมา ”

“ พี่ไม่ได้เล่นตลกอะไรกับผมนา ” ผมมองดูเขาอย่างระแวง

“ นั่นมันซองลับเฉพาะ ” เขาชี้มาที่ซองในมือผม “ ซองอย่างนี้เล่นตลกกันได้หรือ ”

นั่นน่ะซี – ผมนึกในใจ อีกอย่างหนึ่งเขาก็ไม่น่าจะรู้ว่า ผมจะมีอันต้องมาที่นี่

“ แล้วไอ้เสือนั่นล่ะ ” ผมพูด “ เมื่อไรพี่จะสอบให้ผม ผมอยากรู้ว่ามันเป็นใคร และมันเข้าไปทำร้ายผมด้วยเรื่องอะไร หรือว่าผิดตัว ข้อสำคัญ ผมอยากรู้ว่ามันเป็นใคร ”

“ คุณมีเวลาพอที่จะอยู่ฟังผมสอบเขาไหมล่ะ ”

ผมดูนาฬิกา มันใกล้เจ็ดโมงมากแล้วผมยังไม่ได้อาบน้ำและพร้อมที่จะไปรายงานตัว ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วว่า

“ ผมจะมาหาพี่ใหม่ตอนหลังแปดโมงดีไหม ผมต้องรีบไปตามหนังสือนี้ ” ผมยกซองลับเฉพาะนั้นขึ้นโบก

“ ตามใจคุณ ” เขาพูดยิ้ม ๆ

ผมลาเขาออกมา ตอนที่ผมขึ้นนั่งบนรถของผม ผมก็ยังงงอยู่ดีว่าไอ้หนังสือลับเฉพาะฉบับนี้มันยังไงกันแน่

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 15

เรื่อง ตลกร้าย

อาทิตย์นี้ ต้องขออู้เอาเรื่องเบา ๆ สมองของฝรั่งมาขาย ให้คุณ ๆ ได้อ่านกันสบาย ๆ ใจในวันสุดสัปดาห์ซักสองสามเรื่อง เป็นเรื่องค่อนข้างจะสัปดน “ สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส สัปดนวันละหน่อยอร่อยใจ ” ไม่รู้ใครว่าไว้อย่างนี้ ดูเหมือนจะเป็นคุณประยูร จรรยาวงษ์ เพื่อผู้น่ารักของผม

เรื่องที่หนึ่ง
ยังมีบุรุษนายหนึ่ง ชื่อไทย ๆ ว่า คุณหะริน ไม่ใช่ท่านนายพลเอกอากาศเอกท่านนั้น คุณหะรินเป็นคนที่ไม่เคยมองอะไรในแง่ที่ไม่ดี เรียกว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงแค่ไหน คุณหะรินได้รู้ได้ฟังแล้วก็จะปลงว่า “ ยังดี ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จะยิ่งร้ายใหญ่ ” ทุกเรื่องที่คุณหะรินได้รับรู้ จะต้องไม่เป็นเรื่องร้ายแรงทั้งนั้น จนเพื่อน ๆ ของคุณหะรินชักจะรำคาญในความมองโลกในแง่ดีเสียทุกเรื่องของคุณหะริน
วันหนึ่ง เพื่อน ๆ คิดจะแก้นิสัยอันนี้ของคุณหะรินให้ได้ ก็สร้างเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่งที่คิดว่า ถ้าคุณหะรินได้รับฟังจะต้องหดหู่ใจ
เย็นวันหนึ่ง ที่สโมสรที่คุณหะรินชอบไปหาความสำราญกับผองเพื่อนแห่งหนึ่ง เพื่อนของคุณหะรินก็เอ่ยกับคุณหะรินว่า
“ เฮ้ย ริน ลื้อรู้เรื่องไอ้น้อยไหมวะ เมื่อคืนนี้มันกลับบ้านหัวค่ำกว่าทุก ๆ คืน เปิดประตูห้องนอนเข้าไปพบเมียของมันกำลังกอดกันกลมอยู่กับไอ้หนุ่มหน้ามนคนหนึ่งอยู่บนเตียง มันก็ควักปืนออกมายิงทั้งไอ้หนุ่มคนนั้นและเมียของมันตายคาที่นอน แล้วมันก็หันปากกระบอกปืนยิงตัวมันเองตายตามไปด้วย ”
“ น่าสงสารและน่าสลดใจจริง ๆ ” คุณหะรินพูด ส่ายหน้าช้า ๆ “ แต่ว่ามันก็ยังไม่ร้ายแรงอะไรเท่าไรนัก มันอาจเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้ได้อีก ”
“ อะไรกันวะ ” เพื่อนชักโมโห “ ยังงี้ ลื้อยังว่ามันยังไม่ร้ายแรงอีกเรอะ ลื้อพูดยังไง มันอาจเกิดอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้อีกก็ได้ ไอ้บ้า ”
“ เฮ้ย ” หะรินครวญออกมาเบา ๆ “ ถ้าหากเป็นคืนก่อนเมื่อคืนนี้ อั๊วน่ะซีที่จะเสร็จ !! ”


อีกเรื่องหนึ่ง
อรัญญา (ไม่ใช่คุณอรัญญานางเอก) เป็นหญิงสาวสวยและสดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ตัวหล่อนเองที่คิดว่าอย่างนั้น และเธอเป็นผู้หญิงที่ป๊อปพิวล่าคนหนึ่งในสังคม นี่ก็เธอคิดว่ายังงั้นอีกนะแหละ ขอโทษ ป๊อปพิวล่า แปลเป็นไทย ๆ ว่า กว้างขวางเป็นที่รู้จักดีในวงสังคม วันหนึ่ง เธอพูดกับเพื่อน ๆ ในงานสังสรรค์งานหนึ่งว่า
“ นี่เธอนะ ถ้าหากฉันเกิดแต่งงานเข้าเมื่อใด ผู้ชายหลาย ๆ คนจะต้องทุกข์ระทมกันทีเดียวแหละ ”
“ งั้นเชียวเรอะ เพื่อนหนุ่มของเธอคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ แล้วเธอคิดว่า เธอจะแต่งงานกับใครมั่งล่ะ ไอ้หนุ่มเคราะห์ร้ายพวกนั้นน่ะ ”

อีกเรื่องหนึ่ง
ก๋อยกับเก๋เป็นเพื่อนรักกัน และทั้งคู่เป็นกะเทย คุณรู้แล้วซีนะว่ากะเทยคืออะไร และพวกเขาเหล่านั้นส้องเสพสู่สมกันวิธีไหน และเขาสนุกอย่างไรที่ตรงไหน บอกแล้วว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะสัปดน
ก๋อยเจ็บหนักเป็นตายเท่ากัน ด้วยโรคอะไรอย่าให้บอกเลย หมอบอกว่าคงจะไม่พ้นวันสองวันนี้ ก๋อยก็เรียกเก๋เข้าไปหาข้าง ๆ เตียงแล้วสั่งเสีย
“ นี่ เก๋ เวลาฉันตายนะ เธอช่วยทำบุญให้ฉันหน่อย ”
“ บอกมาเหอะ ก๋อย ฉันทำให้ทั้งนั้น ” เก๋ปลอบใจเพื่อน
“ เธอช่วยเอาเมล็ดเชอรี่ยัดไว้ที่ก้นฉันหน่อยนะ แล้วเวลาฝังฉันอย่าฝังให้ลึกนัก เอาศพฉันคว่ำหน้าลงก้นหลุมนะ เก๋นะ กลบดินแล้วให้หมั่นรดน้ำทุก ๆ วัน พอต้นเชอรี่มันงอกขึ้นมา ปล่อยให้มันโตของมัน พอมันโตต้นพอจะแข็งแล้วละก็ เก็จ๋า เธอช่วยเขย่าต้นมันด้วยนะจ๊ะ เขย่าเช้าหนเย็นหนนะจ๊ะ อย่าลืม ”

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 14

เรื่องของตำรวจ
ทั้งบ้านนอกและในกรุง
(เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2525)

ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ตำรวจเป็นข้าราชการพวกเดียวที่เป็นกระโถนท้องพระโรง ไม่ว่าอะไรต่ออะไรจะต้องมาลงที่นี่
เมื่อเป็นที่ทิ้งขยะอย่างนี้ ก็ต้องมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับพวกตำรวจนี่บ่อย ๆ
ผัวเมียทะเลาะกัน ก็ขึ้นโรงพัก ให้ตำรวจไกล่เกลี่ยให้ กรมตำรวจต้องมีระเบียบข้อบังคับ ในเรื่องเกี่ยวกับผัวเมียไว้เป็นพิเศษ ว่าไว้เลยทีเดียวว่า ถ้าผัวเมียทะเลาะกัน ซึ่งโดยมากมักจะไปถึงขั้นตบตีกันอุตลุด ตำรวจจะต้องดำเนินการอย่างไร สำหรับนายตำรวจที่สำเร็จออกมาใหม่ ๆ ก็ต้องมีพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำสั่งสอนในเรื่องการดำเนินการให้เหมาะสม
ถ้าใครแนะนำให้เลิกกันไปเสียเลยเพื่อตัดรำคาญ เขาก็ว่า ยังไม่เป็นในการทำงาน ฉะนั้น ตำรวจนครบาลจึงเจนจัดในเรื่องมโนสาเร่อย่างนี้มาก แต่เจ้าตัวกลับจัดการเรื่องของตัวเองไม่ถูกก็มี
เรื่องคดีข่มขืน อ๊ะ – เรื่องอย่างนี้สนุก เพราะจะต้องสอบสวนกันถึงรายละเอียดจนถึงที่สุด เพราะการทำสำนวนเรื่องการขมขืนนี้ ต้องทำให้สมบูรณ์ ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่จะเป็นความผิดตามตัวบทกฎหมาย มิฉะนั้นจะต้องถูกทางอัยการผู้ตรวจสำนวนแย้งกลับมา อัยการเป็นผู้นำคดีขึ้นสู่ศาล เขาต้องการหลักฐานที่มั่นคงที่จะฟ้องได้
ตำรวจนครบาลทุกคนจะต้องพบคดีข่มขืนกระทำชำเราคนละหลาย ๆ คดี ผมยืนยันได้ ถ้านาย ตำรวจนครบาลคนใดไม่เคยมีคดีข่มขืนเข้ามาสอบสวนเลย นายตำรวจคนนั้นก็เหมือนคนถูกล็อตเตอรี่ หรือไม่ก็คงทิ้งเวรยัน
ผมเคยมีคดีข่มขืนเรื่องหนึ่งที่ประทับใจมาจนถึงป่านนี้ ... !
ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนเป็นสาวใหญ่ อายุสามสิบเศษเห็นจะได้ เธอขึ้นแจ้งความเรื่องถูกข่มขืนนี้กับผมตอนค่ำวันหนึ่ง บอกกับผมว่า เพิ่งจะเกิดเหตุเดี๋ยวนี้เองที่บ้านของเธอ และตัวชายผู้กระทำความผิดยังอยู่ในบ้าน ให้ผมไปจับ ผมก็ให้สิบเวรจัดตำรวจไปกับเธอผู้นั้น ไปเอาตัวผู้ข่มขืนเธอมา
ผู้กล่าวหากับผู้ต้องหาและตำรวจมาถึงโรงพักด้วยรถของผู้ต้องหา พอมาถึง ผู้กล่าวหาก็จะให้ผมเอาตัวชายหนุ่มใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ต้องหานั้น เข้าห้องขังให้ได้ในเดี๋ยวนั้น ผมก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน ต้องสอบสวนทวนความกันเสียก่อนที่จะเอาคนเข้าห้องขัง
“ สอบสวนทวนความอะไรกันอีกล่ะคะ ” เธอผู้กล่าวหาขึ้นเสียงเอา “ ยังหมาดอยู่นี่ ต้นขาฉันยังเปรอะอยู่เลย ”
“ ข่มขืนอะไรกันหมวด ” ผู้ต้องหาแก้ขึ้นมาบ้าง “ ก็แม่นี่เอาผมทุกวัน เขาจะให้ผมเลิกกับเมียให้ได้ เร่งเร้าทุกวัน ผมมายอมเลิก เขาก็จะเอาเรื่องผม ”
“ หนอย ” มีนี้ผู้กล่าวหาชี้หน้าผู้ต้องหา “ เอาอยู่ทุกวัน พูดออกมาได้ ขาอ่อนฉัน น้ำหน้าอย่างแกไม่ได้มีวันเห็นหรอก ”
ผมเกือบจะถามออกไปแล้วว่า เมื่อกี้ที่เขาข่มขืน เขาไม่ได้ก้มมองขาอ่อนหรือยังไง แต่ไม่ถาม
“ ฉันยังไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ ” ผู้กล่าวหาพูดขึ้นอีก “ เพิ่งโดนกระทำวันนี้ ถ้าคนเคยจะเจ็บเรอะ ผู้หมวดดูก็ได้ ”
“ ดูอะไรครับ ” ทีนี้ผมถาม
“ ดูของฉันซีคะ ดูว่าของฉันยังไม่ชำรุดเสียหาย ”
“ ผมไม่ใช่หมอ แต่ถ้าคุณจะเอาเรื่องจริง ๆ ผมก็ต้องส่งคุณไปให้หมอตรวจ ” ผมว่า
“ ฉันไม่อยากให้หมดดู ” เธอว่า
“ หมอเขามีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ครับ ” ผมชี้แจง
“ หมวดดูเสียก่อนไม่ได้เรอะ? ประเดี๋ยว กว่าจะถึงหมอ อะไรต่ออะไรมันแห้งหมด ”
“ อะไรล่ะครับ ที่มันจะแห้ง ? ” ผมซัก
“ ก้อ ไอ้น้ำอะไรที่เขาทิ้งไว้จนเปรอะหน้าขาฉันน่ะซี ” เธอเถียง “ กว่าจะไปถึงหมอ มันก็แห้งหมด จะมีอะไรเป็นหลักฐาน ” หัวหมอเสียด้วยคุณคนนี้
ผมชักสนุก ไอ้ห้องสอบสวนนี่มันสว่างเสียด้วย มีแต่ห้องสารวัตร ซึ่งอยู่อีกทางปีกของโรงพัก ที่พอจะอาศัยได้
“ ว่ายังไงคะ? ” เจ้าหล่อนถามอีก “ ช้าอยู่ทำไม ? ”
เอาก็เอา ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินออกมานอกห้อง พยักหน้าให้คุณผู้หญิงคนนั้นตามผมไป ผมให้สิบเวรเปิดห้องทำงานของสารวัตร ถือไฟฉายไปด้วย พอเข้าไปในห้องก็ไล่สิบเวรออกไป เขาคงอยากพิสูจน์เหมือนกัน
ผมให้เธอนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เธอก็ลงนั่ง เตรียมการที่จะขยับขา
ประตูห้องเปิดผลัวะออกอย่างแรง แล้วแสงไปก็สว่างจ้า ผมหันไปดู สารวัตรของผมนั่นเอง
“ ทำอะไรน่ะ ไม่เอา ไม่เอา ” เสียงสารวัตรของผมดุเอา ไม่รู้มาเร็วยังงั้นได้ยังไง “ ออกไปห้องสอบสวน ส่งตัวไปให้หมอตรวจ ”
สิบเวรคนนั้นคงไปบอกสารวัตร
พอออกมาเข้าห้องสอบสวน สารวัตรดึงแขนผมเข้าไปหา แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ อย่าอุตริ คุณอยากถูกกล่าวหาอีกคนหนึ่งเรอะ หมอเขามีหน้าที่ คุณไม่มี ”
เรื่องข่มขืนที่สนุก ๆ กว่านี้มีอีกเยอะ ไม่เชื่อลองไปถามนายตำรวจนครบาลดู คนไหนก็ได้ !

ตลกสังคม เรื่องที่ 13

เรื่อง ตำรวจเมืองนอก

เขียนถึงตำรวจบ้านนอกมาแล้ว ลองอ่านเรื่องของตำรวจเมืองนอกดูบ้างเป็นไง ไม่เบาหรอก
เมื่อผมถูกส่งไปทัศนาจรต่างประเทศ โดยที่ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ออกค่าเครื่องบินให้เมื่อปี ๒๕๐๐ นั้น ผมกับเจ้านาย และเพื่อนอีกคนคือ พ.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี ถูกส่งให้ไปใช้ชีวิตสงบสติอารมณ์อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เขาให้ผมลงเครื่องบินที่เจนีวา หาที่พักเอาที่นั่น
เจนีวาเป็นเมืองเปิด ใครจะไปใครจะมาที่สวิสส์ก็ต้องมาลงที่เจนีวานี่แหละเสียเป็นส่วนมาก ที่ไปลงที่ซูริคนั้นมีน้อย เจนีวาจึงเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นเมืองนานาชาติ เราจะพบชนชาติต่าง ๆ แทบจะทั่วโลก เดินทางไปมาผ่านนครเจนีวานี้ไม่รู้กี่ชาติกี่ภาษา
ผมเคยถูกคนพม่ามาส่งภาษา ทุงยาหม่าเว้ เอากับผมเข้าให้ก็มี เขานึกว่าผมเป็นพม่า
เจนีวาเป็นแหลมจะงอยของสวิสส์ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส เขาเรียกว่า สวิสส์โรมองค์ สวิสส์เป็นประเทศที่แบ่งภาคออกเป็นสามภาค สามภาษา เหนือขึ้นไปเป็นสวิสส์เยอรมัน ใช้ภาษาเยอรมัน ทางด้านใต้ติดกับประเทศอิตาลี ก็ใช้ภาษา อิตาเลียน ส่วนกลางใกล้ฝรั่งเศสก็ใช้ภาษาฝรั่งเศส คนสวิสส์ต่างภาคมาเจอกัน พูดกันไม่รู้เรื่องก็มี เขาก็อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกลางกันได้ ไม่มีปัญหาทางการเมืองอะไร
ที่นั่น ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษได้ก็เหมือนคนวิเศษ คนสวิสส์ที่พูดอังกฤษได้ จะต้องแสดงภูมิของเขาต่อหน้าเพื่อนร่วมชาติว่า ข้านี่เหนือชั้นกว่าแก
ตำรวจสวิสส์ก็เหมือนกับตำรวจที่ไหน ๆ ในโลก ตำรวจนี่ไม่รู้มันเป็นยังไง นิสัยให้มันเหมือนกันไปทุกแห่งในโลก ไอ้เรื่องแบมือไขว้หลังแล้วกระดกมือให้ใส่อะไร ๆ ลงไปบนฝ่ามือนั้น ใช้วิธีเดียวกันทั้งหมดในโลก เพราะฉันหันหลังให้ แกเอาอะไรมาใส่มือฉันไม่รู้ เอาใส่กระเป๋า ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ฝรั่งเศสเอาคาสิโนมาตั้งไว้รอบ ๆ เจนีวาไปหมด เพราะความที่เป็นจะงอยเข้าไปในฝรั่งเศส ออกจากเจนีวาไปทางรถยนต์ทางตะวันออก จะเจอกับคาสิโนในเอวิอองของฝรั่งเศส ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะเจอเอาดีโวนตั้งคาสิโนดักอยู่ ลงตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเจอคาสิโนของชาโมนี กับอานเนอซีดักอยู่ ไอ้เมืองหลังนี่คนไทยไม่ค่อยอยากจะไป เพราะชื่อมันไม่เป็นมงคล มันชื่ออานเนอซี พูดเป็นภาษาไทยว่า อานน่ะซี ใครไปเป็นอานกลับมาทุกราย
ไอ้เรื่องคาสิโนนี่ ผมก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยท่านทำยักยันอยู่ทำไม จะตั้งก็ไม่ตั้ง ไม่รู้กระดากอะไรอยู่ มันรายได้เข้าประเทศชัด ๆ ของฝรั่งเศสเขาห้ามไม่ให้คนฝรั่งเศสเข้าไปเล่นเด็ดขาด ผู้ที่เข้าไปต้องมีพาสปอรต์ แล้วเขาจะจดหมายเลขเอาไว้ มาทีหลังก็จำได้ ของเราทำอย่างเขามั่งไม่ได้หรือยังไง
ด่านที่ผ่านเข้าฝรั่งเศสเหมือนกัน เขาไม่เข็มงวด รถมีเบอร์สวิสส์ผ่านเข้าไปเป็นโบกผ่านหมด จะมีก็แต่ขาออกจากสวิสส์ และขาเข้า ที่ทางสวิสส์จะตรวจทุกครั้ง
นอกจากตำรวจตรวจแหลกธรรมดานี่แล้ว เขายังมีตำรวจสาธารณสุขอีกด้วย พวกนี้มีหน้าที่ตรวจตราอาหารที่จะนำเข้าประเทศและพวกพืชต่าง ๆ เห็นไม่ชอบมาพากล พี่แกกักไม่ให้เข้า พวกเราไปอยู่ที่ไหนก็ต้องสั่งอาหารไทยเข้าไป มันอดไม่ได้ เวลาไปรับอาหารที่ส่งมาที ก็ต้องไปอธิบายกันว่าอะไรเป็นอะไร เหมาะ ๆ ทำส่งให้แกกินเสียบ้าง ก็ชอบอกชอบใจกันเป็นพิเศษ ทีนี้อะไร ๆ เข้ามาก็ใช้ได้
อยู่มาวันหนึ่งก็มีเรื่องจนได้ ผมกับพันศักดิ์อยู่บ้านเดียวกัน เราสั่งพวกน้ำปลาแมงดาเข้ามากินกัน ทางกรุเทพ ฯ ก็ส่งมาให้ ทีนี้เขาจะให้มันมีรสมีชาติ ก๊อใส่ตัวแมงดาส่งไปให้ด้วย แช่มาในน้ำปลาเป็นตัว ๆ เลย
ทางเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราไปรับอาหารที่ส่งมา ทางกรุงเทพ ฯ บอกมาว่าอาหารชุดนั้นมีน้ำปลาแมงดามาด้วย ก็ดีอกดีใจกันจะได้ลิ้มรสน้ำปลาแมงดาให้หนำ พอไปถึงเขาก็จัดของไว้ให้เรียบร้อย และบอกกับเราว่าขาดไปรายการหนึ่ง เสียใจด้วย เขาบอกว่า
“ มันเป็นกลิ่นฉุน ๆ แต่แมงสาบมันตกลงไปตายหลายตัว เลยต้องเททิ้งไปหมด ”

!!