จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จับปูดำ ขยำปูนา บทที่ 1 ตอนที่ 1



เสียงนั้นดังหวิว ๆ มาแต่ไกล แล้วก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาจนผมได้ยินถนัด มันเป่าอยู่ที่รูหูผมนี่เอง ดังออกมาเป็นเสียงว่า “ พี่ พี่ ” เบา ๆ

แล้วผมก็รู้สึกว่ามีมือมาเขย่าที่ท่อนแขนส่วนบนของผมแรง ๆ

ผมรู้สึกตัวตื่น

ไอ้แสงบ้านั่นมันแยงนัยน์ตาผมเสียจนต้องรีบหลับตาลงใหม่ ผมยังบอกตัวเองไม่ถูกว่ามันเป็นแสงอะไร ภวังค์ของผมเพิ่งจะถูกปลุกขึ้นมาใหม่ ๆ ยังตั้งสติไม่ได้ เสียงประตูมุ้งถูกแหวกออก แล้วก็มีเสียงของคนที่เรียกและเขย่าตัวผมอยู่นั้นร้อง "ว้าย" ออกมาดัง ๆ คำเดียวแล้วก็เงียบ

ผมพลิกตัวแพล็บเดียวทั้ง ๆ ที่นัยน์ตายังไม่ทันลืมขึ้นมาใหม่ เท้าของผมข้างหนึ่งยันออกไปด้วยสัญชาตญาณไปทางด้านที่ผมเห็นไอ้แสงบ้านั่นมาแยงนัยน์ตาเมื่อกี้นี้ เท้าข้างนั้นปะทะเข้ากับร่างใครคนหนึ่งถนัดถนี่ พร้อมทั้งไอ้ลำแสงที่แยงนัยน์ตาผมหลุดกลิ้งลงบนที่นอน ผมจึงมองเห็นว่ามันเป็นร่างของใครคนหนึ่งแอ่นหงายกลับออกไป

ผมเผ่นพรวดเดียวลุกขึ้นยืน พอดีกับร่างของหมอนั่นเซไปโดนชายมุ้ง มุ้งทั้งหลังขาดหลุดลงมา ผมอยู่ในท่าที่ได้เปรียบกว่า ผมตวัดมุ้งที่หล่นลงมาครอบนั้นพรวด ๆ จนพ้นหัวออกมาได้ ไอ้เสือนั่นยังวุ่นวายอยู่ในมุ้งที่คลุมร่างของมัน พยายามที่จะแหวกออกมา

ผมมองเห็นว่าส่วนไหนเป็นหัว ส่วนไหนเป็นลำตัวภายในมุ้งนั้น ผมวาดเท้าไปเต็มเหนี่ยวตรงที่เห็นว่าเป็นศีรษะ มีเสียงร้องดังอุ้บมาจากข้างในนั้น ไอ้ร่างนั้นก็หมุนม้วนกลับหันสีข้างมาทางผม ผมเหวี่ยงเท้าไปที่สีข้างอีกที แล้วที่ลำตัวอีกที พร้อมทั้งกระทืบซ้ำลงไปที่ร่างที่งอก่ออยู่ในมุ้ง มันยังดิ้นจะหาทางออกอยู่ภายในนั้น

อะไรสิ่งหนึ่งกลิ้งหลุน ๆ ออกมาจากความยุ่งเหยิงของมุ้ง มันเป็นกระบอกไฟฉายขนาดห้าท่อน ไอ้นี่เองที่เป็นต้นแสงที่แยงนัยน์ตาของผมเมื่อกี้นี้ ผมก้าวไปคว้ามันมาไว้ในมือ ไอ้ร่างนั้นยังดิ้นขลุกขลักควานหาทางออกอยู่

ผมประเคนกระบอกไฟฉายห้าท่อนอันนั้นลงไปบนส่วนที่เป็นหัวของมัน เสียงดัง “ โพละ ” ไอ้ร่างนั้นหลุดดิ้น มันครางครอก ๆ สอง – สามทีแล้วก็เงียบไม่ไหวติง

ผมยืนหอบอยู่ครู่หนึ่ง มองไปรอบ ๆ ห้อง แสงสลัว ๆ ของอากาศภายนอกลอดเข้ามาพอมองเห็นอะไร ๆ ข้างในห้องได้ราง ๆ ผู้หญิงคนที่ส่งเสียงเรียกผม และเป็นเจ้าของเสียง ‘ว้าย’ เสียงนั้น ยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง หล่อนไม่นุ่งผ้า ได้แต่ใช้มือทั้งสองข้างปิดอวัยวะอันพึงสงวนของหล่อนทั้งข้างบนข้างล่างอยู่ นัยน์ตามองผมอย่างหวั่น ๆ

ผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเองว่า – ขอโทษ – ผมก็อยู่ในสภาพเดียวกับหล่อน

ผมเลิกมุ้งขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะร่างไอ้หมอนั่นซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครมันงอก่อทับอยู่ ผมควานเอากางเกงในของผมออกมานุ่งก่อน แล้วขึงปลดเอากางเกงของผมที่ผมจำได้ว่า ผมแขวนมันไว้ที่ฝาห้องมานุ่ง ผมเลิกมุ้งออกจนหมด เหวี่ยงออกไปพ้นที่นอน ร่างของไอ้เสือนั่นยังไม่ฟื้น นอนงอคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น
ผมฉายไฟดูหน้ามัน – ผมไม่รู้จัก – ไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ ผมจับชีพจรมัน ยังเต้นอยู่แผ่ว ๆ มันยังไม่ตาย ผมแหงนหน้าไปทางผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าแอบหยิบผ้าถุงของหล่อนมานุ่งเมื่อไร พยักหน้าให้หล่อนเข้ามาหา ชี้ไปที่ร่างของไอ้หมอนั่นแล้วถามหล่อนว่า
“ ผัวเรอะ ? ”
แม่คนนั้นสั่นหน้าทันที ทั้ง ๆ ที่ยังย่างเข้ามาไม่ถึงที่ผมยืนฉายไฟไปที่ใบหน้าไอ้ร่างนั้น
“ ไม่ใช่ ” หล่อนพูดเสียงสั่น ๆ “ หนูไม่เคยมีผัว ”
“ แฮะแอ้ ” ผมร้องแล้วจุ๊ปาก “ เดี๋ยวโดนตบ ”
ผมเงื้อมือ แม่นั่นถอยออกไปห่าง พร้อมกับสั่นหน้าเร่า ๆ
“ ใครก็ไม่รู้ ” เสียงของหล่อนยังมาหายสั่น “ หนูไม่เคยมีผัวจริง ๆ ไม่รู้จักจริง ๆ ”
ผมมองดูร่างนั้นที มองดูหล่อนที แล้วพูดว่า
“ ถ้างั้น มันเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ยังไง ”
“ ไม่รู้ซีพี่ ” แม่นั่นรีบตอบ “ หนูได้ยินเสียงก๊อกแก๊กอยู่นานแล้ว หนูจึงเรียกพี่ ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวตั้งหลายที กว่าพี่จะตื่นมันก็เปิดมุ้งเข้ามาพอดี หนูยังถูกมันตบเอาทีหนึ่งตอนหนูร้อง ”

ผมก้าวไปเลิกหมอน หยิบเอาปืนของผมที่สอดไว้ตั้งแต่ตอนเข้านอนมาเหน็บที่เอว คว้าเสื้อมาสวม ผมยัดชายเสื้อเข้าขอบกางเกงเสร็จเรียนร้อย ไอ้นั่นก็ค่อย ๆ พลิกตัว

ผมให้แม่คนนั้นเปิดไฟในห้อง

ไอ้เสือนั่นนอนนิ่งลืมตามองดูผม เพราะปากกระบอกปืนของผมจ้องนิ่งตรงนัยน์ตามันพอดี

“ อย่าขยับ ” ผมเน้นเสียงออกมา “ นอนนิ่ง ๆ อย่างนั้น แล้วบอกอั๊วมาว่าลื้อเป็นใคร เข้ามาทำไม และต้องการอะไร ”

มันไม่พูด จ้องรูลำกล้องปืนนิ่ง แล้วก็เปลี่ยนสายตามามองผม

หน้าตามันเหมือนนักโทษเพิ่งหลุดออกมาจากตะราง คางเหลี่ยม นัยน์ตาโปน ผมหยิก และอายุในราวสามสิบเศษ ๆ ทั้งเสื้อทั้งกางเกงของมันดำสนิทกลืนกับความมืดดีนัก

ผมง้างนกปืนลูกโม่ของผมดังกริ๊ก

“ ลื้อไม่อยากพูดกับอั๊ว จะไปพูดกับยมบาลหรือยังไง อั๊วถามว่าลื้อเป็นใคร เข้ามาทำไม และต้องการอะไร ”
มันนิ่ง สายตาของมันไม่บอกว่ามันกลัว

“ พาผมไปโรงพักดีกว่า ” มันพูดออกมา หลังจากที่นิ่งจ้องมองผมอยู่นาน

“ อยากเข้าตะราง ว่างั้นเถอะ ” ผมพูดปนเสียงหัวเราะ
มันยิ้มนิด ๆ อย่างคนไม่กลัวความตาย แล้วพูดอีกว่า
“ พาผมไปโรงพักดีกว่า ”

“ ตามใจ ไอ้เพื่อนยาก ” ผมว่า “ งั้นลุกขึ้น แต่ว่าช้า ๆ นะ อย่าให้อั๊วตกใจ ”

มันค่อย ๆ ยันร่างขึ้นในท่านั่ง แล้วใช่มือทั้งสองข้างยันพื้นที่นอนเพื่อที่จะดันตัวขึ้นมาในท่ายืน หัวของมันก้มลงมองดิน ผมมองดูที่มือของมัน มันกดมือลงแน่นในจังหวะที่จะสปริงตัวขึ้น

ผมเหวี่ยงเท้าข้างขวาผึงออกไปได้จังหวะที่ใบหน้าของมันที่แหงะขึ้นมาจากท่าเตรียมสปริงตัว

เสียงดังพล๊อกหนักแน่น แล้วทั้งมือทั้งตีนของมันก็ลอยผงะไปกลางอากาศ กลับลงนอนแผ่อยู่บนที่นอนอีก แต่ว่าคราวนี้เหยียดแผ่ทั้งมือทั้งตีน หลับตาพริ้ม

ผมลงมือค้นตามตัวของมัน ทั่งกระเป๋าเสื้อและกางเกง ไม่พบอะไรอื่นอีก ไม่มีแม้แต่อาวุธและอะไรทั้งสิ้น มันไม่ได้พกอะไรเลย

แม่คนนั้นถอยออกไปยืนตัวสั่นอยู่ที่กลางห้องอีก

ในกระเป๋ากางเกงของผมมีกุญแจมือขนาดเล็กชนิดใช้ใส่แค่เพียงหัวแม่มือ ผมล้วงมันออกมาแล้วขัดการใส่มันเข้ากับหัวแม่มือทั้งสองข้างของไอ้หมอนั่น มันยังไม่ฟื้น

ผมหันไปทางแม่คนนั้นซึ่งผมก็จำชื่อหล่อนไม่ได้ว่ามันจะเป็น ‘ เพ็ญ ’ หรือ ‘ พร ’ หรือ ‘พวง ’ ก็ไม่รู้ เพราะที่หล่อนบอกผมไว้เมื่อคืนนี้ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะจำ ผมพูดกับหล่อนว่า
“ ฉันจะพาไอ้เสือนี่ไปโรงพัก ฉันเป็นหนี้น้องสาวอยู่เท่าไหร่ คิดมาเสีย ”

หล่อนสั่นหน้าอยู่ตรงที่เดิม “ ไม่ต้องหรอกพี่ ” เสียงก็ยังสั่นอยู่อีก “ พี่ไปเสีย เผื่อพวกมันมาอีก หนูจะทำยังไงล่ะ ”

ผมยืนเกาหัว ไม่รู้ว่าจะยังไงเหมือนกัน แล้วผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนหล่อนไม่ได้
“ ไม่หรอกน่ะ ” ผมพูดส่ง ๆ ออกไป “ มันมาเล่นงานฉันมากกว่าเธอ ถ้าฉันยังอยู่ซีมันอาจจะมาอีก ฉันไปเสียมันก็ไม่มา คิดมาเถอะเท่าไหร่ ”

หล่อนมองดูผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า
“ แล้วแต่พี่เถอะ หนูไม่เคยเรียกราคากับใคร ”

หล่อนจะพูดจริง หรือจะเข้าใจพูดก็ไม่รู้ แต่ว่าอาจจะจริง เพราะผมหิ้วหล่อนมาจากไนท์คลับชั้นดีแห่งหนึ่งเมื่อคืนนี้ ผมล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋าสองร้อยบาทส่งให้หล่อน

หล่อนมองดูเงิน มองดูผม แล้วค่อย ๆ เดินมาหา รับเงินในมือผมไป พร้อมกับยกมือไหว้ ไม่พูดอะไร

ผมคว้ามือไอ้เสือนั่นข้างหนึ่ง แล้วลากมันออกมาจากห้องนั้น มันยังไม่ฟื้น

ผมรู้จักว่าที่ตรงนั้นขึ้นกับโรงพักท้องที่ไหน ผมยัดร่างไอ้หมอนั่นซึ่งยังไม่ตื่นเข้าไปบนรถจี๊ปของผม บึ่งมาพักเดียวก็ถึงโรงพัก ตอนนั้นรุ่งสางพอดี ผมดูนาฬิกามันบอกเวลาหกโมงกว่า ๆ มันฟื้นลืมตา เมื่อผมดึงมันลงมาจากรถอีกที ผมจึงไม่ต้องลากมันอีก คราวนี้มันเดินลากขาตามผมไป

สารวัตรท้องที่เป็นนายตำรวจรุ่นพี่ เขานั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานภายในเครื่องแบบพันตำรวจตรี ผมจูงไอ้เสือนั่นเข้าไปหาเขา เขาเงยหน้ามองผล แล้วยิ้มให้เหมือนกับว่าเขาคอยพบผมอยู่แล้วยังงั้น ไม่ได้แสดงกิริยาแปลกอกแปลกใจอะไรเลย เมื่อผมผลักไอ้นั่นไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วยกมือไหว้เขา

“ สวัสดี คุณยอดทวน ” เขาเอ่ยขึ้นมาก่อนผมเสียอีก “ เอาอะไรติดมือมาด้วยนั่น ” เขาพยักหน้าไปทางไอ้นั่น
“ สวัสดี พี่ ” ผมว่า พลางลากเก้าอี้มาตรงหน้าเขา “ ของฝาก ผมเอามาให้พี่ยุ่งกับมันเล่น ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร มันเข้าไปเล่นงานผมหรืออะไรก็ยังไม่รู้ แต่มืด ”

เขาปรายตาไปที่ไอ้นั่นอีกแวบหนึ่ง แล้วกดกริ่งบนโต๊ะ
“ เอาไปขัง ” เขาออกคำสั่ง แล้วชี้ไปที่ไอ้นั่น

ผมโยนกุญแจนิ้วให้นายสิบเวร เขารับมันไปไขนิ้วไอ้นั่นแล้วกลับส่งมาให้ผมทั้งลูกทั้งตัวกุญแจ แล้วก็จับศอกไอ้นั่น ดึงเอาตัวออกไป

“ ผมอยากจะรู้ว่ามันเป็นใคร และเข้าไปหาผมในห้องนอนทำไม ” ผมพูด “ พี่ช่วยสอบให้ผมรู้ด้วย ”
เขาหัวเราะ ไม่พูดไม่ถามอะไร กลับหันไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้าง ๆ ตัว ดึงเอาซองหนังสือราชการอันหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งให้ผม

ผมรับซองนั้นมาอย่างงง ๆ ที่หน้าซองมีชื่อของผมเป็นผู้รับ และที่เหนือชื่อของผมที่มุมซองมีข้อความ ‘ลับเฉพาะ’ ผมมองดูเขาอย่างจะตั้งคำถาม เขาพูดว่า

“ ผมได้รับคำสั่งให้ส่งซองนี้ให้คุณ ถ้าคุณมาวันนี้ ”

ผมมองดูซองในมือแล้วมองดูเขา บนใบหน้าของเขามีแต่ความว่างเปล่า อันที่จริงใบหน้าของตำรวจแทบจะทุกคนก็ต้องเป็นยังงั้น ถ้าเขาไม่อยากจะพูด

ผมฉีกซองออก อ่านข้อความในหนังสือที่อยู่ในซองนั้น มันมีข้อความว่า

ถึงร้อยตำรวจโท ยอดทวน ธงไทย
ให้ท่านไปรายงานตัวต่อข้าพเจ้า ณ ที่ห้องพิเศษ เลขที่ ๕๐๔ โรงแรมเอราวัณ ในวันที่ได้รับหนังสือนี้
เวลา ๐๘.๐๐ น.
ลงนาม พันเอก เยี่ยม วีรพล
ผบ. หน่วย ๔๐๔ กรป.

ข้อความในนั้นมีเท่านี้ ไม่มีวันที่ ไม่มีเลขหนังสือ

ผมอ่านข้อความนั้นอีกทีให้มันแน่ใจ มันก็ยังอ่านได้ความยังงั้นอยู่ ผมแหงนหน้าขึ้นมองสารวัตรรุ่นพี่คนนั้น แล้วว่า
“ อธิบายให้ผมเข้าใจให้แจ่มแจ้งกว่านี้สักหน่อยได้ไหมครับ ไอ้หนังสือนี้มันมาบังไงไปยังไงกัน ถึงผมแน่หรือ ”

เขายิ้ม “ ชื่อของคุณใช่ ร้อยตำรวจโท ยอดทวน ไหมล่ะ ”

ผมพลิกซองดูชื่อที่หน้าซองอีกที แล้วเกาหัว
“ พี่ก็รู้จักผมดีอยู่ ไม่น่าถาม ผมอยากรู้ว่ามันไปยังไงมายังไงกัน แล้วถ้าเผื่อผมไม่มาที่นี่ เพราะเกิดเรื่องกับไอ้เสือนั่นวันนี้ หนังสือนี้จะถึงมือผมได้ยังไง ”

เขายักไหล่ “ ผมได้รับคำสั่งมาแต่เพียงเท่านี้จากเบื้องบน ว่าถ้าคุณมาที่นี่วันนี้ก็ให้ผมส่งซองนี้ให้คุณ ไม่มีรายละเอียดอย่างอื่นอีก ไม่ได้บอกว่าถ้าคุณไม่มาจะให้ผมทำอย่างไรกับหนังสือฉบับนี้ ”
“ ก้อ ถ้าเผื่อผมไม่มา ผมมาเพราะมันมีเรื่องต่างหาก ”

“ ข้างบนคงจะรู้มั้งว่าคุณต้องมา ”

“ พี่ไม่ได้เล่นตลกอะไรกับผมนา ” ผมมองดูเขาอย่างระแวง

“ นั่นมันซองลับเฉพาะ ” เขาชี้มาที่ซองในมือผม “ ซองอย่างนี้เล่นตลกกันได้หรือ ”

นั่นน่ะซี – ผมนึกในใจ อีกอย่างหนึ่งเขาก็ไม่น่าจะรู้ว่า ผมจะมีอันต้องมาที่นี่

“ แล้วไอ้เสือนั่นล่ะ ” ผมพูด “ เมื่อไรพี่จะสอบให้ผม ผมอยากรู้ว่ามันเป็นใคร และมันเข้าไปทำร้ายผมด้วยเรื่องอะไร หรือว่าผิดตัว ข้อสำคัญ ผมอยากรู้ว่ามันเป็นใคร ”

“ คุณมีเวลาพอที่จะอยู่ฟังผมสอบเขาไหมล่ะ ”

ผมดูนาฬิกา มันใกล้เจ็ดโมงมากแล้วผมยังไม่ได้อาบน้ำและพร้อมที่จะไปรายงานตัว ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วว่า

“ ผมจะมาหาพี่ใหม่ตอนหลังแปดโมงดีไหม ผมต้องรีบไปตามหนังสือนี้ ” ผมยกซองลับเฉพาะนั้นขึ้นโบก

“ ตามใจคุณ ” เขาพูดยิ้ม ๆ

ผมลาเขาออกมา ตอนที่ผมขึ้นนั่งบนรถของผม ผมก็ยังงงอยู่ดีว่าไอ้หนังสือลับเฉพาะฉบับนี้มันยังไงกันแน่

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 15

เรื่อง ตลกร้าย

อาทิตย์นี้ ต้องขออู้เอาเรื่องเบา ๆ สมองของฝรั่งมาขาย ให้คุณ ๆ ได้อ่านกันสบาย ๆ ใจในวันสุดสัปดาห์ซักสองสามเรื่อง เป็นเรื่องค่อนข้างจะสัปดน “ สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส สัปดนวันละหน่อยอร่อยใจ ” ไม่รู้ใครว่าไว้อย่างนี้ ดูเหมือนจะเป็นคุณประยูร จรรยาวงษ์ เพื่อผู้น่ารักของผม

เรื่องที่หนึ่ง
ยังมีบุรุษนายหนึ่ง ชื่อไทย ๆ ว่า คุณหะริน ไม่ใช่ท่านนายพลเอกอากาศเอกท่านนั้น คุณหะรินเป็นคนที่ไม่เคยมองอะไรในแง่ที่ไม่ดี เรียกว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงแค่ไหน คุณหะรินได้รู้ได้ฟังแล้วก็จะปลงว่า “ ยังดี ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จะยิ่งร้ายใหญ่ ” ทุกเรื่องที่คุณหะรินได้รับรู้ จะต้องไม่เป็นเรื่องร้ายแรงทั้งนั้น จนเพื่อน ๆ ของคุณหะรินชักจะรำคาญในความมองโลกในแง่ดีเสียทุกเรื่องของคุณหะริน
วันหนึ่ง เพื่อน ๆ คิดจะแก้นิสัยอันนี้ของคุณหะรินให้ได้ ก็สร้างเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่งที่คิดว่า ถ้าคุณหะรินได้รับฟังจะต้องหดหู่ใจ
เย็นวันหนึ่ง ที่สโมสรที่คุณหะรินชอบไปหาความสำราญกับผองเพื่อนแห่งหนึ่ง เพื่อนของคุณหะรินก็เอ่ยกับคุณหะรินว่า
“ เฮ้ย ริน ลื้อรู้เรื่องไอ้น้อยไหมวะ เมื่อคืนนี้มันกลับบ้านหัวค่ำกว่าทุก ๆ คืน เปิดประตูห้องนอนเข้าไปพบเมียของมันกำลังกอดกันกลมอยู่กับไอ้หนุ่มหน้ามนคนหนึ่งอยู่บนเตียง มันก็ควักปืนออกมายิงทั้งไอ้หนุ่มคนนั้นและเมียของมันตายคาที่นอน แล้วมันก็หันปากกระบอกปืนยิงตัวมันเองตายตามไปด้วย ”
“ น่าสงสารและน่าสลดใจจริง ๆ ” คุณหะรินพูด ส่ายหน้าช้า ๆ “ แต่ว่ามันก็ยังไม่ร้ายแรงอะไรเท่าไรนัก มันอาจเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้ได้อีก ”
“ อะไรกันวะ ” เพื่อนชักโมโห “ ยังงี้ ลื้อยังว่ามันยังไม่ร้ายแรงอีกเรอะ ลื้อพูดยังไง มันอาจเกิดอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้อีกก็ได้ ไอ้บ้า ”
“ เฮ้ย ” หะรินครวญออกมาเบา ๆ “ ถ้าหากเป็นคืนก่อนเมื่อคืนนี้ อั๊วน่ะซีที่จะเสร็จ !! ”


อีกเรื่องหนึ่ง
อรัญญา (ไม่ใช่คุณอรัญญานางเอก) เป็นหญิงสาวสวยและสดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ตัวหล่อนเองที่คิดว่าอย่างนั้น และเธอเป็นผู้หญิงที่ป๊อปพิวล่าคนหนึ่งในสังคม นี่ก็เธอคิดว่ายังงั้นอีกนะแหละ ขอโทษ ป๊อปพิวล่า แปลเป็นไทย ๆ ว่า กว้างขวางเป็นที่รู้จักดีในวงสังคม วันหนึ่ง เธอพูดกับเพื่อน ๆ ในงานสังสรรค์งานหนึ่งว่า
“ นี่เธอนะ ถ้าหากฉันเกิดแต่งงานเข้าเมื่อใด ผู้ชายหลาย ๆ คนจะต้องทุกข์ระทมกันทีเดียวแหละ ”
“ งั้นเชียวเรอะ เพื่อนหนุ่มของเธอคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ แล้วเธอคิดว่า เธอจะแต่งงานกับใครมั่งล่ะ ไอ้หนุ่มเคราะห์ร้ายพวกนั้นน่ะ ”

อีกเรื่องหนึ่ง
ก๋อยกับเก๋เป็นเพื่อนรักกัน และทั้งคู่เป็นกะเทย คุณรู้แล้วซีนะว่ากะเทยคืออะไร และพวกเขาเหล่านั้นส้องเสพสู่สมกันวิธีไหน และเขาสนุกอย่างไรที่ตรงไหน บอกแล้วว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะสัปดน
ก๋อยเจ็บหนักเป็นตายเท่ากัน ด้วยโรคอะไรอย่าให้บอกเลย หมอบอกว่าคงจะไม่พ้นวันสองวันนี้ ก๋อยก็เรียกเก๋เข้าไปหาข้าง ๆ เตียงแล้วสั่งเสีย
“ นี่ เก๋ เวลาฉันตายนะ เธอช่วยทำบุญให้ฉันหน่อย ”
“ บอกมาเหอะ ก๋อย ฉันทำให้ทั้งนั้น ” เก๋ปลอบใจเพื่อน
“ เธอช่วยเอาเมล็ดเชอรี่ยัดไว้ที่ก้นฉันหน่อยนะ แล้วเวลาฝังฉันอย่าฝังให้ลึกนัก เอาศพฉันคว่ำหน้าลงก้นหลุมนะ เก๋นะ กลบดินแล้วให้หมั่นรดน้ำทุก ๆ วัน พอต้นเชอรี่มันงอกขึ้นมา ปล่อยให้มันโตของมัน พอมันโตต้นพอจะแข็งแล้วละก็ เก็จ๋า เธอช่วยเขย่าต้นมันด้วยนะจ๊ะ เขย่าเช้าหนเย็นหนนะจ๊ะ อย่าลืม ”

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 14

เรื่องของตำรวจ
ทั้งบ้านนอกและในกรุง
(เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2525)

ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ตำรวจเป็นข้าราชการพวกเดียวที่เป็นกระโถนท้องพระโรง ไม่ว่าอะไรต่ออะไรจะต้องมาลงที่นี่
เมื่อเป็นที่ทิ้งขยะอย่างนี้ ก็ต้องมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับพวกตำรวจนี่บ่อย ๆ
ผัวเมียทะเลาะกัน ก็ขึ้นโรงพัก ให้ตำรวจไกล่เกลี่ยให้ กรมตำรวจต้องมีระเบียบข้อบังคับ ในเรื่องเกี่ยวกับผัวเมียไว้เป็นพิเศษ ว่าไว้เลยทีเดียวว่า ถ้าผัวเมียทะเลาะกัน ซึ่งโดยมากมักจะไปถึงขั้นตบตีกันอุตลุด ตำรวจจะต้องดำเนินการอย่างไร สำหรับนายตำรวจที่สำเร็จออกมาใหม่ ๆ ก็ต้องมีพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำสั่งสอนในเรื่องการดำเนินการให้เหมาะสม
ถ้าใครแนะนำให้เลิกกันไปเสียเลยเพื่อตัดรำคาญ เขาก็ว่า ยังไม่เป็นในการทำงาน ฉะนั้น ตำรวจนครบาลจึงเจนจัดในเรื่องมโนสาเร่อย่างนี้มาก แต่เจ้าตัวกลับจัดการเรื่องของตัวเองไม่ถูกก็มี
เรื่องคดีข่มขืน อ๊ะ – เรื่องอย่างนี้สนุก เพราะจะต้องสอบสวนกันถึงรายละเอียดจนถึงที่สุด เพราะการทำสำนวนเรื่องการขมขืนนี้ ต้องทำให้สมบูรณ์ ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่จะเป็นความผิดตามตัวบทกฎหมาย มิฉะนั้นจะต้องถูกทางอัยการผู้ตรวจสำนวนแย้งกลับมา อัยการเป็นผู้นำคดีขึ้นสู่ศาล เขาต้องการหลักฐานที่มั่นคงที่จะฟ้องได้
ตำรวจนครบาลทุกคนจะต้องพบคดีข่มขืนกระทำชำเราคนละหลาย ๆ คดี ผมยืนยันได้ ถ้านาย ตำรวจนครบาลคนใดไม่เคยมีคดีข่มขืนเข้ามาสอบสวนเลย นายตำรวจคนนั้นก็เหมือนคนถูกล็อตเตอรี่ หรือไม่ก็คงทิ้งเวรยัน
ผมเคยมีคดีข่มขืนเรื่องหนึ่งที่ประทับใจมาจนถึงป่านนี้ ... !
ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนเป็นสาวใหญ่ อายุสามสิบเศษเห็นจะได้ เธอขึ้นแจ้งความเรื่องถูกข่มขืนนี้กับผมตอนค่ำวันหนึ่ง บอกกับผมว่า เพิ่งจะเกิดเหตุเดี๋ยวนี้เองที่บ้านของเธอ และตัวชายผู้กระทำความผิดยังอยู่ในบ้าน ให้ผมไปจับ ผมก็ให้สิบเวรจัดตำรวจไปกับเธอผู้นั้น ไปเอาตัวผู้ข่มขืนเธอมา
ผู้กล่าวหากับผู้ต้องหาและตำรวจมาถึงโรงพักด้วยรถของผู้ต้องหา พอมาถึง ผู้กล่าวหาก็จะให้ผมเอาตัวชายหนุ่มใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ต้องหานั้น เข้าห้องขังให้ได้ในเดี๋ยวนั้น ผมก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน ต้องสอบสวนทวนความกันเสียก่อนที่จะเอาคนเข้าห้องขัง
“ สอบสวนทวนความอะไรกันอีกล่ะคะ ” เธอผู้กล่าวหาขึ้นเสียงเอา “ ยังหมาดอยู่นี่ ต้นขาฉันยังเปรอะอยู่เลย ”
“ ข่มขืนอะไรกันหมวด ” ผู้ต้องหาแก้ขึ้นมาบ้าง “ ก็แม่นี่เอาผมทุกวัน เขาจะให้ผมเลิกกับเมียให้ได้ เร่งเร้าทุกวัน ผมมายอมเลิก เขาก็จะเอาเรื่องผม ”
“ หนอย ” มีนี้ผู้กล่าวหาชี้หน้าผู้ต้องหา “ เอาอยู่ทุกวัน พูดออกมาได้ ขาอ่อนฉัน น้ำหน้าอย่างแกไม่ได้มีวันเห็นหรอก ”
ผมเกือบจะถามออกไปแล้วว่า เมื่อกี้ที่เขาข่มขืน เขาไม่ได้ก้มมองขาอ่อนหรือยังไง แต่ไม่ถาม
“ ฉันยังไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ ” ผู้กล่าวหาพูดขึ้นอีก “ เพิ่งโดนกระทำวันนี้ ถ้าคนเคยจะเจ็บเรอะ ผู้หมวดดูก็ได้ ”
“ ดูอะไรครับ ” ทีนี้ผมถาม
“ ดูของฉันซีคะ ดูว่าของฉันยังไม่ชำรุดเสียหาย ”
“ ผมไม่ใช่หมอ แต่ถ้าคุณจะเอาเรื่องจริง ๆ ผมก็ต้องส่งคุณไปให้หมอตรวจ ” ผมว่า
“ ฉันไม่อยากให้หมดดู ” เธอว่า
“ หมอเขามีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ครับ ” ผมชี้แจง
“ หมวดดูเสียก่อนไม่ได้เรอะ? ประเดี๋ยว กว่าจะถึงหมอ อะไรต่ออะไรมันแห้งหมด ”
“ อะไรล่ะครับ ที่มันจะแห้ง ? ” ผมซัก
“ ก้อ ไอ้น้ำอะไรที่เขาทิ้งไว้จนเปรอะหน้าขาฉันน่ะซี ” เธอเถียง “ กว่าจะไปถึงหมอ มันก็แห้งหมด จะมีอะไรเป็นหลักฐาน ” หัวหมอเสียด้วยคุณคนนี้
ผมชักสนุก ไอ้ห้องสอบสวนนี่มันสว่างเสียด้วย มีแต่ห้องสารวัตร ซึ่งอยู่อีกทางปีกของโรงพัก ที่พอจะอาศัยได้
“ ว่ายังไงคะ? ” เจ้าหล่อนถามอีก “ ช้าอยู่ทำไม ? ”
เอาก็เอา ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินออกมานอกห้อง พยักหน้าให้คุณผู้หญิงคนนั้นตามผมไป ผมให้สิบเวรเปิดห้องทำงานของสารวัตร ถือไฟฉายไปด้วย พอเข้าไปในห้องก็ไล่สิบเวรออกไป เขาคงอยากพิสูจน์เหมือนกัน
ผมให้เธอนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เธอก็ลงนั่ง เตรียมการที่จะขยับขา
ประตูห้องเปิดผลัวะออกอย่างแรง แล้วแสงไปก็สว่างจ้า ผมหันไปดู สารวัตรของผมนั่นเอง
“ ทำอะไรน่ะ ไม่เอา ไม่เอา ” เสียงสารวัตรของผมดุเอา ไม่รู้มาเร็วยังงั้นได้ยังไง “ ออกไปห้องสอบสวน ส่งตัวไปให้หมอตรวจ ”
สิบเวรคนนั้นคงไปบอกสารวัตร
พอออกมาเข้าห้องสอบสวน สารวัตรดึงแขนผมเข้าไปหา แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ อย่าอุตริ คุณอยากถูกกล่าวหาอีกคนหนึ่งเรอะ หมอเขามีหน้าที่ คุณไม่มี ”
เรื่องข่มขืนที่สนุก ๆ กว่านี้มีอีกเยอะ ไม่เชื่อลองไปถามนายตำรวจนครบาลดู คนไหนก็ได้ !

ตลกสังคม เรื่องที่ 13

เรื่อง ตำรวจเมืองนอก

เขียนถึงตำรวจบ้านนอกมาแล้ว ลองอ่านเรื่องของตำรวจเมืองนอกดูบ้างเป็นไง ไม่เบาหรอก
เมื่อผมถูกส่งไปทัศนาจรต่างประเทศ โดยที่ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ออกค่าเครื่องบินให้เมื่อปี ๒๕๐๐ นั้น ผมกับเจ้านาย และเพื่อนอีกคนคือ พ.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี ถูกส่งให้ไปใช้ชีวิตสงบสติอารมณ์อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เขาให้ผมลงเครื่องบินที่เจนีวา หาที่พักเอาที่นั่น
เจนีวาเป็นเมืองเปิด ใครจะไปใครจะมาที่สวิสส์ก็ต้องมาลงที่เจนีวานี่แหละเสียเป็นส่วนมาก ที่ไปลงที่ซูริคนั้นมีน้อย เจนีวาจึงเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นเมืองนานาชาติ เราจะพบชนชาติต่าง ๆ แทบจะทั่วโลก เดินทางไปมาผ่านนครเจนีวานี้ไม่รู้กี่ชาติกี่ภาษา
ผมเคยถูกคนพม่ามาส่งภาษา ทุงยาหม่าเว้ เอากับผมเข้าให้ก็มี เขานึกว่าผมเป็นพม่า
เจนีวาเป็นแหลมจะงอยของสวิสส์ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส เขาเรียกว่า สวิสส์โรมองค์ สวิสส์เป็นประเทศที่แบ่งภาคออกเป็นสามภาค สามภาษา เหนือขึ้นไปเป็นสวิสส์เยอรมัน ใช้ภาษาเยอรมัน ทางด้านใต้ติดกับประเทศอิตาลี ก็ใช้ภาษา อิตาเลียน ส่วนกลางใกล้ฝรั่งเศสก็ใช้ภาษาฝรั่งเศส คนสวิสส์ต่างภาคมาเจอกัน พูดกันไม่รู้เรื่องก็มี เขาก็อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกลางกันได้ ไม่มีปัญหาทางการเมืองอะไร
ที่นั่น ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษได้ก็เหมือนคนวิเศษ คนสวิสส์ที่พูดอังกฤษได้ จะต้องแสดงภูมิของเขาต่อหน้าเพื่อนร่วมชาติว่า ข้านี่เหนือชั้นกว่าแก
ตำรวจสวิสส์ก็เหมือนกับตำรวจที่ไหน ๆ ในโลก ตำรวจนี่ไม่รู้มันเป็นยังไง นิสัยให้มันเหมือนกันไปทุกแห่งในโลก ไอ้เรื่องแบมือไขว้หลังแล้วกระดกมือให้ใส่อะไร ๆ ลงไปบนฝ่ามือนั้น ใช้วิธีเดียวกันทั้งหมดในโลก เพราะฉันหันหลังให้ แกเอาอะไรมาใส่มือฉันไม่รู้ เอาใส่กระเป๋า ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ฝรั่งเศสเอาคาสิโนมาตั้งไว้รอบ ๆ เจนีวาไปหมด เพราะความที่เป็นจะงอยเข้าไปในฝรั่งเศส ออกจากเจนีวาไปทางรถยนต์ทางตะวันออก จะเจอกับคาสิโนในเอวิอองของฝรั่งเศส ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะเจอเอาดีโวนตั้งคาสิโนดักอยู่ ลงตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเจอคาสิโนของชาโมนี กับอานเนอซีดักอยู่ ไอ้เมืองหลังนี่คนไทยไม่ค่อยอยากจะไป เพราะชื่อมันไม่เป็นมงคล มันชื่ออานเนอซี พูดเป็นภาษาไทยว่า อานน่ะซี ใครไปเป็นอานกลับมาทุกราย
ไอ้เรื่องคาสิโนนี่ ผมก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยท่านทำยักยันอยู่ทำไม จะตั้งก็ไม่ตั้ง ไม่รู้กระดากอะไรอยู่ มันรายได้เข้าประเทศชัด ๆ ของฝรั่งเศสเขาห้ามไม่ให้คนฝรั่งเศสเข้าไปเล่นเด็ดขาด ผู้ที่เข้าไปต้องมีพาสปอรต์ แล้วเขาจะจดหมายเลขเอาไว้ มาทีหลังก็จำได้ ของเราทำอย่างเขามั่งไม่ได้หรือยังไง
ด่านที่ผ่านเข้าฝรั่งเศสเหมือนกัน เขาไม่เข็มงวด รถมีเบอร์สวิสส์ผ่านเข้าไปเป็นโบกผ่านหมด จะมีก็แต่ขาออกจากสวิสส์ และขาเข้า ที่ทางสวิสส์จะตรวจทุกครั้ง
นอกจากตำรวจตรวจแหลกธรรมดานี่แล้ว เขายังมีตำรวจสาธารณสุขอีกด้วย พวกนี้มีหน้าที่ตรวจตราอาหารที่จะนำเข้าประเทศและพวกพืชต่าง ๆ เห็นไม่ชอบมาพากล พี่แกกักไม่ให้เข้า พวกเราไปอยู่ที่ไหนก็ต้องสั่งอาหารไทยเข้าไป มันอดไม่ได้ เวลาไปรับอาหารที่ส่งมาที ก็ต้องไปอธิบายกันว่าอะไรเป็นอะไร เหมาะ ๆ ทำส่งให้แกกินเสียบ้าง ก็ชอบอกชอบใจกันเป็นพิเศษ ทีนี้อะไร ๆ เข้ามาก็ใช้ได้
อยู่มาวันหนึ่งก็มีเรื่องจนได้ ผมกับพันศักดิ์อยู่บ้านเดียวกัน เราสั่งพวกน้ำปลาแมงดาเข้ามากินกัน ทางกรุเทพ ฯ ก็ส่งมาให้ ทีนี้เขาจะให้มันมีรสมีชาติ ก๊อใส่ตัวแมงดาส่งไปให้ด้วย แช่มาในน้ำปลาเป็นตัว ๆ เลย
ทางเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราไปรับอาหารที่ส่งมา ทางกรุงเทพ ฯ บอกมาว่าอาหารชุดนั้นมีน้ำปลาแมงดามาด้วย ก็ดีอกดีใจกันจะได้ลิ้มรสน้ำปลาแมงดาให้หนำ พอไปถึงเขาก็จัดของไว้ให้เรียบร้อย และบอกกับเราว่าขาดไปรายการหนึ่ง เสียใจด้วย เขาบอกว่า
“ มันเป็นกลิ่นฉุน ๆ แต่แมงสาบมันตกลงไปตายหลายตัว เลยต้องเททิ้งไปหมด ”

!!




วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 12

เรื่อง ตลกสังคม 12

อาทิตย์นี้ เรามาเล่าเรื่องเบา ๆ สมองสู่กันฟังอีกดีกว่า คุณ ๆ จะได้เอาไปเล่าต่อเป็นที่เฮฮากันในโต๊ะเหล้า โต๊ะข้าว ในวันพักผ่อนสุดสัปดาห์อย่างนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก ก็ตลกสังคม ถ้าจะว่าเป็นไทย ๆ กันนั่นแหละครับ วันไหน อาทิตย์ไหนเหมาะ ๆ ผมก็อาจจะเอา เดอร์ตี้โจ๊ก หรือ ตลกสัปดน มาเขียนให้คุณอ่านบ้างก็ได้ ถ้าบรรณาธิการท่านใจกล้าปล่อยออกมาให้คุณ ๆ อ่านกัน

ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อย่าไปบอกเลยว่าชื่อมหาวิทยาลัยอะไร ท่านศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีหน้าที่บรรยายวิชาสรีรศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับบรรดานิสิตทั้งหญิงและชายทั่วหน้ากัน และท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ท่านเป็นนักวิชาการ ท่านก็ไม่มีลูกเล่นลูกล้อที่จะให้พวกลูกศิษย์สนุกสนานได้ด้วยคำบรรยายของท่าน ต่างก็เบื่อหน่ายกันทั่วหน้า เมื่อถึงชั่วโมงของท่านศาสตราจารย์ผู้นี้
วันหนึ่ง พวกลูกศิษย์ก็นัดแนะกันว่า เมื่อท่านศาสตราจารย์ท่านนี้เข้าบรรยายเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ทุกคนก็จะพากันลุกขึ้นเดินออกจากห้องบรรยายไป โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์หญิงทั้งหลาย เพราะท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ นอกจากจะทำให้บรรยากาศหงอยเหงาแล้ว ท่านก็ยังมีอายุมาก ไม่เป็นที่รื่นรมย์สำหรับบรรดานิศิษย์หญิงเลย
ท่านศาสตราจารย์ท่านนั้นก็รู้ถึงความนัยอันนี้ และรู้ถึงการนัดแนะของพวกลูกศิษย์ที่จะทำกันในวันนั้น เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน แต่ท่านก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร คงเข้าห้องบรรยายตามปกติเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปตามปกติ บรรยายวิชาการอันน่าเบื่อหน่ายนั้นอย่างเคย และสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของบรรดาลูกศิษย์อยู่แล้ว ทันทีท่านก็หันเหการบรรยายออกมานอกเรื่องกลางคันว่า
“ เห็นเขาว่ากันว่า ที่โคราช ทหารอเมริกันเพิ่มจำนวนขึ้นอีกมาก เลยทำให้โสเภณีที่นั่นชักจะขาดแคลน ...”
ถึงตอนนี้ บรรดานิสิตหญิงที่เริ่มจะเซ็ง ๆ ก็มองตากันตามที่นัดแนะกันไว้ แล้วก็พากันลุกขึ้นหอบตำราเดินไปทางประตูห้อง
“ ประเดี๋ยวก่อน พวกเธอทั้งหลายนั่นน่ะ ” ท่านศาสตราจารย์พูดขึ้น ชี้นิ้วไปที่พวกนิสิตหญิงเหล่านั้น “ รถไฟขบวนที่จะไปโคราช กว่าจะออกก็ห้าโมงเย็นนะเธอนะ ”
เรื่องนี้ จะให้ชื่อว่า ทีเด็ดศาสตราจารย์ ก็ได้

ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องคดีหย่าร้างระหว่างผัวเมียที่มีชื่อในวงสังคมคู่หนึ่ง ฝ่ายภรรยาฟ้องหย่าสามีด้วยข้อหาหลายประการ ตั้งแต่ความเจ้าชู้ การทอดทิ้งบ้านช่องออกไปหาความสำราญนอกบ้าน แถมยังแอบไปมีเมียน้อยอีก ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายภรรยาก็ยังซื่อสัตย์ภักดีและเสียสละอดทนทุกอย่าง การสืบพยานดำเนินมาจนถึงวันที่ตัวภรรยาผู้เป็นโจทก์จะต้องขึ้นศาล และให้การเป็นพยานตัวเองเป็นพยานคนสุดท้าย เธอได้ให้การต่อศาล ตอบข้อซักถามของทนายโจทก์ของเธอ ถึงคุณงามความดีของเธอ และความซื่อสัตย์ที่เธอมีต่อสามีตลอดมา แล้วกลับได้รับการตอบแทนด้วยความไม่ซื่อของสามี ทำให้ทั้งศาลและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีนี้ มีความเห็นใจเธอทั่วหน้ากัน
เมื่อจบขนวนการฝ่ายโจทก์แล้ว ก็ถึงความของฝ่ายจำเลยจะซักค้านบ้าง ทนายจำเลยก็ลุกขึ้นไต่ถามถึงชื่อของเธอ นามสกุล และความสัมพันธ์ ระหว่างเธอกับสามีซึ่งเป็นฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นการเปิดฉากการซักถามแล้ว ทนายก็เดินกลับไปโต๊ะที่นั่งฝ่ายจำเลย หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ยืนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เลยหน้าขึ้นมองภรรยาซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ แล้วถามว่า
“ คุณโสภีครับ ผมขอให้คุณตอบคำถามของผมต่อไปนี้อย่างจริงใจ และคุณต้องตอบด้วยความจริง เพราะว่าขณะนี้คุณให้การในฐานะพยาน จะให้การเท็จไม่ได้ คุณฟังให้ดีนะครับ จริงหรือไม่ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ นี้ คุณได้นั่งรถแท็กซี่คันหนึ่งไปสองต่อสองกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ไปยังสวนลุมพินี คุณสั่งให้รถแท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางเกาะลอย แล้วให้จอดรถไว้ในมุมมืดบริเวณนั้น แล้วคุณก็ไล่ให้คนขับรถแท็กซี่คันนั้นไปเสียที่อื่น โดยคุณให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เขาไป และไม่ให้เขากลับมาภายในสองชั่วโมง แล้วคุณกัยชายหนุ่มก็แสดงบทรักกันในรถแท็กซี่คันนั้น โดยมิได้คำนึงถึงศีลธรรมประเพณีอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งได้มีคนเดินผ่านคุณไป คุณก็ยังไม่ได้สังเกต หรื่อรู้สึกตัวทั้งสองคน โปรดตอบผมว่าจริงหรือไม่ ”
ใบหน้าของเธอผู้นั้นถอดสี ชั่วครู่เดียว แล้วเธอก็คุมสติได้ เอ่ยเอื้อนวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาเยือกเย็นว่า “ กรุณาบอกดิฉันอีกทีได้ไหมคะว่า วันนั้นเป็นวันที่เท่าไร เดือนอะไรคะ


ในวงเหล้าลงข้าวที่ค่อนข้างจะมีแต่สมาชิกที่สนิท ๆ กัน ไม่ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยหรือไม่ มักจะมีเรื่องตลก ๆ เบา ๆ สมองมาคุยสู่กันฟัง ย่อยอาหารและทำให้เหล้าเดินหน้าจนลืมว่าจะหมดขวด โจ๊กพวกนี้ฝรั่งเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก เราก็ให้ชื่อเสียอย่างไทย ๆ ว่า ตลกสังคม

พ่อหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพาคุณสาวซึ่งจ้องตากันมานานแล้ว ไปกินเหล้ากินข้าวจนอารมณ์สุกงอมแล้ว ก็พาเจ้าหล่อนมาพักผ่อนที่ห้องของเขา ซึ่งแน่ละต้องเป็นห้องชายโสด แต่จะเป็นห้องเดียวที่เขามีอยู่หรือไม่นี่ เราไม่ยืนยันหรือนั่งยันนอนยันได้ เขาคงจะได้พยายามที่จะพิชิตหล่อนมานานแล้ว แต่ก็คงจะเป็นแต่เพียงความคิด แต่ในใจยังไม่กล้าเอ่ยเอื้อนออกมา ก็เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษจนน่าสงสาร
ในค่ำคืนนั้น หลังจากพ่อหนุ่มได้บรรจงปรุงสุราพิเศษให้สาวเจ้าถือในมือแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องพูดอะไรกันให้มันเด็ดขาดไปเสียที เมื่อได้รวบรวมความกล้าหาญไว้ได้ที่แล้ว เขาก็เอ่ยวาจากับหล่อนในขณะที่มือหนึ่งโอบหล่อนไว้ อีกมือหนึ่งถือถ้วยมาร์ตินี่ที่กำลังได้ที่อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พลางเขี่ยปอยผมของหล่อนเล่นว่า
“ นี่แนะ โฉมศรี เธอจะขัดขืนไหม ถ้าฉันจะขอให้เธอเป็นของฉันเสียวันนี้ เดี๋ยวนี้ ”
โฉมศรีปรายนัยน์ตาอันน่ารักของหล่อนมองดูเขา แล้วเอ่ยเสียงอันซึมซาบของหล่อนออกมาว่า
“ ฉันยังไม่เคยเลยนี่คะ ”
“ ไม่เคยร่วมรสกับใครเลยงั้นเหรอ ” พ่อหนุ่มอุทานออกมาด้วยความผิดหวัง
“ พูดบ้า ๆ ” โฉมศรีตวัดสายตา “ ไม่เคยขัดขืนต่างหากเล่า ”
คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้าคุณเป็นพ่อหนุ่มคนนั้น คุณจะทำอย่างไรต่อไป ...?


***

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 11

เรื่อง รายการเก็บตก
(เขียนเมื่อ พ.ศ. 2525)

คุณคิดไหมว่า การเขียนเรื่องสั้นนั้นเขียนยากกว่าเรื่องยาว นักเขียนเรื่องสั้นทุกคนต้องรู้ดี ผมหมายถึงว่าเขียนให้น่าอ่าน ถ้าจะเขียนกันอย่างชุ่ย ๆ เขียนยังไงก็ได้ วันนี้ผมจึงเอาเรื่องเก็บตกมาเขียน เรื่องเก็บตกนี้ก็ต้องอ่านมาก ฟังมาก และเห็นมาก จึงจะเก็บตกมาได้ เรื่องต่อไปนี้ก็เก็บตกเอามาจากวิทยุ

ผมชอบฟังวิทยุทุกเช้า ว่างเมื่อไหร่ผมก็มีวิทยุอยู่ข้าง ๆ ตัวเสมอ รายการอะไรก็ได้ ฟังทั้งนั้นละ รายการวิทยุแต่ละสถานีนั้น ฟัง ๆ ไปเถอะครับ ได้ความรู้ดี เหมือนอ่านหนังสือ บางทีความรู้ที่ได้มานั้นไม่เข้าท่าก็มีเหมือนกัน อย่างที่จะเขียนให้อ่านกันต่อไปนี้

วันหนึ่งตอนเช้า ๆ ผมรับประทานอาหารเช้าไปก็เปิดวิทยุฟังไป สถานีไหน ขอโทษ ไม่บอก บางรายการที่ผมเคยชอบเปิดฟังอยู่เป็นประจำ ต่อ ๆ มา เจ้าของรายการเกิดสำคัญตัวผิด คิดว่าตัวเป็นเทวดาไปเสียแล้ว พูดจาเลอะเทอะ ยกตนข่มท่าน ผมก็เอียนเลิกฟังไปเลยก็มี อย่าให้บอกเลยว่าเป็นใคร

บุคคลระดับชั้นอธิบดีกรมใดกรมหนึ่ง ก็ไม่บอกอีกแหละว่ากรมอะไร ออกมาพูดในรายการแถลงกิจการของกรมของตัว ผมแทบไม่เชื่อว่าผู้พูดเป็นบุคคลระดับอธิบดี เพราะพูดภาษาไทยไม่เอาไหน ตัว ร. กล้ำไม่มีเสียเลย เขาว่ายังงี้

" กมของผมนะฮะ ที่จะอนุญาตให้ตั้งล้านค้า ต้องพิจาละนากันมาก นะฮะ นะฮะ (หลายครั้ง) " พูดติดทีก็นะฮะ นะฮะเสียที แต่ผมก็นั่งฟังด้วยความอุตสาหะ เพราะอยากรู้ว่าท่านอธิบดีท่านนั้นจะพูดได้เนื้อถ้อยกระทงความซักแค่ไหน ฟังจนจบก็ยังจับเนื้อความอะไรไม่ได้ ก็ไม่ทราบว่าท่านก้าวหน้ามาเป็นถึงอธิบดีได้ยังไง

ทีนี้ก็มาถึงนักพูดระดับคุณหญิงอีกท่านหนึ่ง อย่ารู้เลยว่าคุณหญิงท่านนั้นมีชื่อว่าอะไร จะเสียไปถึงสามีซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าคุณเปล่า ๆ

เรื่องนี้ก็แปลก เวลาสามีเป็นเจ้าคุณ เมียก็เป็นคุณหญิงไปด้วยโดยอัตโนมัติ แต่ครั้นภรรยาได้เป็นคุณหญิง สามีกลับต้องเป็นนายอยู่ยังงั้น ไม่ได้เป็นเจ้าคุณไปด้วย คุณหญิงบางท่านยังเป็นนางสาวอยู่ก็มี สงสัยว่าถ้าไปแต่งงานจะเลือกเจ้าคุณได้หรือเปล่า

คุณหญิงท่านนั้นที่ผมจะเขียนถึง ท่านเป็นนักพูดที่เก่งในสังคม แต่เมื่อท่านพูดท่านพูดยังงี้

" ดิฉันจะได้พูดถึงเรื่องการเข้าสังคมของผู้หญิงนะคะ ต่อไปนี้ ดิฉันก็จะ อ้า ขอแนะนำเรื่องหนึ่ง อ้า อ้า ... " ผมฟังได้แค่นี้ก็ต้องปิดวิทยุ เสียวไส้ ...!

ทีนี้ก็ถึงเรื่องเพลง เดี๋ยวนี้นักแต่งเพลงเขียนเพลงออกมากันมากมาย เพลงไทยกำลังขึ้นสมองคนหนุ่มคนสาว เด็กที่พอจะจำความได้ ก็จำเอาไปร้องกันเกร่อ เพลงที่ฮิต ๆ มีอยู่หลายเพลง ไม่ต้องออกชื่อเพลงท่านนักฟังก็คงจะทราบกันดี แต่บางเพลง เอาแต่ทำนองให้เร้าใจ เนื้อร้องจะเป็นยังไง ไม่คำนึง ผมบังเอิญเปิดไปได้ยินเข้า เป็นเพลงเมียน้อยร้องให้ผัวที่มีเมียหลวงแล้วฟัง

" อย่ามาหาน้องบ่อยนะคะ เดี๋ยวเมียจะว่า ...!"
เนื้อร้องยังมีต่ออีกยาว ใจความจับได้ว่า ห้ามไม่ให้ผัวที่มีเมียหลวงอยู่แล้วนั้นมาหาบ่อย ๆ กลัวเมียใหญ่เขาจะว่า เรียกว่าเกรงใจเมียหลวง ว่ายังงั้น ซึ่งมันออกจะผิดธรรมดาสำหรับคนที่มีเมียน้อยอยู่สักหน่อย ทำให้ผมออกจะเห็นใจ และถ้าเมียใหญ่เกิดมาได้ยินเสียงร้องนี้เข้าก็อาจจะเห็นใจไปด้วย อนุญาตให้ผัวไปหาได้บ่อยเข้าก็อาจเป็นได้

ผมก็ไม่ทราบว่า คณะกรรมการ กบว. ท่านปล่อยเพลงอย่างนี้ออกอากาศมาได้ยังไง ...?

ความวิบัติของภาษาที่เป็นไปเพราะความอะไรก็ไม่รู้ของคณะกรรมการควบคุมอะไรต่ออะไรที่ตั้งกันมาให้เปรอะไปหมดนั้นก็มีอยู่ อย่าง ยาบวดหาย ทัมใจ ประสระบอแรด ยังงี้ ก็ไม่ทราบว่าท่านได้ทราบถึงความส่งเดชของท่านบ้างหรือเปล่า ก็เห็นยังปล่อยกันอยู่อย่างนั้น จนภาษาจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว

ยังสบายกันดีอยู่หรือครับท่าน ...?

เฮ้อ! เขียนไปแล้วก็ละเหี่ยใจ ว่าจะเขียนเรื่องเบา ๆ ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องหนักไปได้ก็ไม่ทราบ

***

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 10

เรื่อง ภาษาวิบัติ
(เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2525)

ผมว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้นานมาแล้ว แต่ก็ยังอดใจเอาไว้ คอยดูว่าอะไร ๆ จะดีขึ้นบ้างหรือเปล่า มันก็ยังเปล่าอยู่นั่น เลยต้องเขียน

ผมไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ และความเชี่ยวชาญทางด้านภาษานั้นยิ่งแล้วใหญ่ ที่ผมเขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ก็สะกดการันต์ผิดบ่อย ๆ ช่างเรียงหรือคนอ่านปรู๊ฟที่เขาเรียกว่า รีไรท์เตอร์ ก็ไม่รู้ ที่คอยแก้คำสะกดการันต์ของผมอยู่เสมอ ๆ ผมแอบขอบใจอยู่เงียบ ๆ มานานแล้ว และทั้ง ๆ ที่จดจำเอาไว้อย่างนี้ก็ยังหลายหน ไม่วายที่จะเขียนผิดอีก ถ้าสมัยเป็นนักเรียนก็คงจะถูกครูให้เขียนคำที่สะกดผิดไม่รู้ว่ากี่ร้อยหนแล้ว

แต่เรื่องภาษาพูดนี่ ผมพิถีพิถันมาก ตัวกล้ำด้วย ร. ล. ผมไม่ยอมให้ผิด ฉะนั้น คำว่า ปัปปุงเปี่ยนแปง จะไม่มีหลุดออกจากปากผม ผมเคยดูในจอโทรทัศน์และได้พบได้ยินบ่อย ๆ ที่ดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงบางคน พูดภาษาวิบัติให้ได้ยิน ดาราหนังคนหนึ่งไปถ่ายโฆษณาให้ทางราชการเสียด้วย เรื่องประหยัดไฟนี่แหละครับ เรียกร้องให้คนช่วยกันดับไฟฟ้า เพราะว่าเวลานี้พลังงานนี้กำลัง ขาดแคน ให้ช่วยกันดับไฟก่อนที่จะไม่มีไฟให้ดับ

ผมเป็นห่วงเด็ก ๆ ที่นั่งดูอยู่หน้าจอโทรทัศน์มันจะจำเอาไปพูด อนาคตภาษาจะวิบัติไปตามๆ กัน

ยิ่งรายการโฆษณาผงซักฟอกอะไรนั่น ชนิดที่เป็น ปาลามาจารย์จริง ๆ นะคะ นั่นแหละ อยากจะออกชื่อผงซักฟอกนั่นเหมือนกัน แต่จะกลายเป็นการช่วยเขาโฆษณาไปด้วย คุณผู้หญิงที่คุยอยู่กับท่านผู้ชมทางจอนั้น แกว่า ผงซักฟอกที่ว่านี่น่ะ ปับปุงใหม่ กิ่นสะอาด

ไอ้ฟังนะฟังรู้อยู่หรอกว่ามันเป็นอะไร เด็ก ๆ ที่นั่งล้อมจอโทรทัศน์อยู่นั่นซิครับ มันจะจำไป ปับปุง และก็ ดมกื่น กันต่อ ๆ กันไป สังเกตบ้างไหมครับว่า เดี๋ยวนี้คุณจะได้ยินคนพูดภาษาวิบัติในที่ทั่ว ๆ ไป ตามตลาดหรือท้องถนนน่ะช่างเถอะ เพราะพูดแล้วก็แล้วไป แต่ในจอโทรทัศน์นี่ มันไม่น่าจะให้มีออกมาให้คนฟัง เห็นเขาว่ามีคณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์อยู่ ที่เรียกว่า กบร. นะ ท่านเคยได้สังเกตบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือเรื่องภาษานี้เขาไม่ควบคุมกัน มันจะวิบัติอย่างไร ช่างมัน หรือยังไง..?

เรื่องการพูดของคนนี่ บางคนหัดยังไงก็ไม่หาย มันจะออกมาเป็น ปับปุงเปี่ยนแปง ถ้าไม่พยายามแก้ พูดทีไรมันก็ออกยังงั้นทุกที จนเจ้าตัวติดเป็นนิสัย แก้ไม่หาย

เรื่องแก้ไม่หายนี่ เรื่องพูดติดอ่างอีกเรื่องหนึ่ง ผมเคยได้ยินคนเป็นอ่างสองคนคุยกัน เหนื่อยแทน เพราะกว่าเขาจะรู้เรื่องกัน ก็อ้าปากค้างเสียหลายตอน เรื่องที่ควรจะรู้กันในหนึ่งนาที ก็ต้องคุยกันถึงห้านาที หรือบางทีก็นานกว่านั้น แล้วคนติดอ่างนี่ เขาว่าอย่าไปล้อเข้า จะเป็นเอง ติดไปด้วย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชอบล้อเพื่อนที่ติดอ่างอย่างว่า เดี๋ยวนี้หมอนั่นกลับพูดติดอ่างหนักกว่าคนที่มันล้อไปอีก

มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า บุรุษสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินมาหา แล้วถามทางไปหัวลำโพง

" ปะ ปะ ไป หัว หัวละ ลำ ลำ โพง ปะ ไปทะ ทาง หะ ไหน ครับ "

คนที่ถูกถามยืนนิ่งเฉยไม่ยอมตอบ จนคนถามเดินเลยไป เพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้วยจึงถามเพื่อนว่า

" มึงไม่รู้หรือวะว่าไปหัวลำโพงไปทางไหน ไอ้กูก็ไม่รู้เสียด้วย จะบอกเขาแทนมึงก็ไม่ได้ "

" กะ กะ กู มะ ไม่ กะ ก้า พะ พูด โว้ย " เพื่อนที่ถูกถามตอบยังงี้

ก็ไม่รู้ว่าถ้าแกตอบออกมา อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

นี่จะอนุโลมเป็นภาษาวิบัติได้หรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบ วานผู้รู้ช่วยบอกที

***

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 9

เรื่อง ผู้ไม่หวังดี (เขียนเมื่อ พ.ศ. 2525)

พักนี้ถ้าท่านเปิดวิทยุฟังในภาคข่าวหรือท้ายภาคข่าว หรืออ่านหนังสือพิมพ์ที่ออกคำสัมภาษณ์ของท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการราชการ ท่านก็จะได้ยินและได้อ่านรู้ถึงคำว่า ' ผู้ไม่หวังดี ' อยู่บ่อย ๆ

ผู้ไม่หวังดีผู้นี้ทำอะไรไว้หลายอย่าง เช่น เที่ยวเอาลูกระเบิดไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ที่ห้องน้ำของสถานที่ราชการบ้าง ตามข้างถนนบ้าง และนอกจากจะชอบเอาลูกระเบิดไปวางทิ้ง ๆ ไว้แล้ว ผู้ไม่หวังดีผู้นี้ยังชอบเที่ยวเอาข่าวลือไปพูดตามที่ต่าง ๆ จนผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ เช่นว่า จะเกิดปฎิวัติวันนั้นวันนี้แล้วก็ไม่เกิดจริง หรือเกือบจะเกิด แต่คนที่จะทำให้เกิด เกิดคิดได้ว่าจะเป็นไปตามคำของผู้ไม่หวังดีเอาจริง ๆ ก็เลยงดเสีย อาจรอจนกว่าผู้ที่ไม่หวังดีลืม ๆ ปล่อยข่าวเสียก่อน ถึงจะเอาจริงก็เป็นได้

ผู้ที่ไม่หวังดีจึงเป็นตัวลึกลับอยู่จนบัดนี้ จะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ไม่อาจยืนยันได้ ทั้งทางราชการและทางชาวบ้าน แต่พอแกออกมาปล่อยข่าวลือหรือแอบเอาอะไร ๆ ไปวาง ๆ ไว้ตามที่ต่าง ๆ ชาวบ้านก็ต้องผวาทุกทีไป ส่วนทางราชการนั้นก็ต้องตามชึ้แจงให้ชาวบ้านรับทราบอยู่จนชินหู

ผู้ที่ไม่หวังดีนี้จะเป็นผู้หวังร้ายด้วยหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ เพราะถ้าไม่หวังดีแล้ว ยังหวังร้ายอีกด้วย ก็น่ากลัว แต่ถ้าไม่หวังดีเฉย ๆ ไม่หวังร้าย ก็ยังพอทำเนา ทางราชการยังไม่ได้แถลงความอันนี้ออกมาให้แจ่มแจ้ง น่าที่จะแถลงออกมาให้ชาวบ้านหายสงสัย จะได้วางตัวถูกว่า จะนอนผวาหรือไม่ต้องนอนผวา

ผมก็มีผู้ไม่หวังดีเหมือนกัน ผู้นั้นคือผู้ที่ผมไปขอยืมเงินแล้วไม่ให้ กลัวว่าผมจะไม่ใช้ ผู้นั้นก็จัดว่าเป็นผู้ไม่หวังดีของผม แต่ก็คงจะไม่ถึงหวังร้าย เพราะไม่ต้องหวังร้ายกับผม ๆ ก็ต้องหน้าแห้งไปเอง กว่าผมจะบากหน้า (ความจริงไม่ได้เอาอะไรมาบากที่ใบหน้าจริง ๆ หรอก) ไปหาผู้ที่หวังดีที่จะให้ผมยืมเงินด้วยความกล้าหาญได้ ผมก็ต้องใช้ความพยายามเสาะแสวงหามากอยู่กว่าจะพบพาน แล้วได้เงินมาตามคำขอ (ยืม)

ฉะนั้น ผู้ที่ไม่ยอมให้ผมยืมเงินก็ต้องนับว่าเป็นผู้ไม่หวังดีได้ และอาจจะเป็นผู้หวังร้ายไปโดยอัตโนมัติ ถ้าผมมีอันเป็นต้องอดตายไป

ผู้ที่ไม่หวังดีกับผมยังมีอีกหลายผู้ อย่างผู้ที่เล่นไพ่กับผมแล้วไม่ยอมทิ้งให้ผมกิน ชอบกักไพ่ตัวที่ผมอยากได้ หรือเวลาเล่นโป๊กเกอร์ แล้วไพ่ในมือของผมมันไม่เอาไหน การที่จะให้ได้เงินกองกลางมาก็ต้องหลอกเขาว่า ไพ่ของผมเหนือกว่าเขา พอผมหลอกออกไป เขาก็ไม่เชื่อ ร้องขอดูลูกเดียว นอกจากผมจะไม่ได้เงินกองกลางแล้ว ผมยังต้องเสียเงินที่กองอยู่ตรงหน้าผมให้เขาไปอีก อย่างนี้ก็นับว่าเป็นผู้ไม่หวังดีกับผมได้เต็มประตู

ฉะนั้น ผู้ที่ไม่หวังดีนี้จึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ วันหนึ่งเขาอาจไม่ใช่ผู้ที่ไม่หวังดี แล้วก็กลับมาเป็นผู้ที่หวังดีในอีกวันหนึ่งก็ได้ ไม่ตายตัวลงไป ผู้ที่ไม่หวังดีจึงมีหน้าตาแปลก ๆ กันไป แล้วแต่วันเวลาโอกาสและสถานที่ ผู้ที่ไม่หวังดีของทางราชการ อาจจะเป็นผู้หวังดีของอีกฝ่ายหนึ่ง และในขณะเดียวกันนั้น ฝ่ายนั้นก็จะต้องถือว่า ทางราชการคือผู้ที่ไม่หวังดีของเขา เขาก็ต้องพยายามเอาลูกระเบิดมาวางให้มันระเบิดให้ได้ เพื่อเป็นการทำลายภาพพจน์ของทางราชการ ซึ่งเขาถือว่าเป็นผู้ที่ไม่หวังดีของพวกเขา

ผู้ร้ายก็ต้องถือว่าตำรวจเป็นผู้ที่ไม่หวังดี เพราะคอยที่จะทำลายจับกุมคุมขังพวกเขาอยู่เรื่อย ตำรวจก็จะถือว่า บุคคลที่ไม่ยอมจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้นั้น คือผู้ไม่หวังดีของเขา เพราะจะทำให้เขาขาดรายได้อันควรมีควรได้เหมือนตำรวจคนอื่น ๆ ไป และถ้าผู้บังคับบัญชาจับได้ เอาตัวไปลงโทษ ผู้บังคับบัญชาคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่หวังดีต่อเขา ถึงจะเป็นนายแต่ก็เป็นตำรวจด้วยกัน ทำไมไม่หวังดีต่อกันโดยทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย

คำว่า ' ผู้ที่ไม่หวังดี ' นี้กว้างมาก จะเรียกว่าเป็นคนกว้างขวางก็ยังได้ และมักจะเป็นผู้ที่ทางราชการชอบอ้างอิงถึง ในเมื่อควานหาตัวการไม่ได้ ไม่รู้จะเอายังไง ก็โยนไปให้เป็นการกระทำของผู้ที่ไม่หวังดีเสียก็แล้วกัน ให้ชาวบ้านไปคิดกันเอาเองว่าเป็นใคร

ผมก็ชักจะเป็นผู้ที่ไม่หวังดีต่อท่านผู้อ่านเข้าให้แล้วเหมือนกัน เพราะเขียน ๆ ไปชักจะอ่านไม่รู้เรื่อง ยังความเวียนศีรษะให้ท่านผู้อ่าน รวมทั้งตัวผมด้วยเอง ประเดี๋ยวผมจะไปยืนที่หน้ากระจก แล้วเรียกตัวผมเองว่า
" แกมันเป็นผู้ที่ไม่หวังดี "

***

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 8

เรื่อง เรื่องของคน

" เฮ้ย มึงเคยมีเมียน้อยไหมวะ " ไอ้เพื่อนของผมคนหนึ่งจู่ ๆ มันก็ใช้คำถามนี้เอากับผม
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ กว่าจะนึกออกว่าจะตอบมันยังไง
" เรื่องอะไรกูจะต้องบอกมึง แล้วก็มึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม "
" อยากรู้ว่า ถ้ามึงมี มึงจะเหมือนกูไหม " มันว่า แล้วมันก็ทำท่านึกทวนความจำ " มึงกะกูนี่ ไม่ได้พบกันมากี่ปีแล้ว " มันนึกอยู่อีกครู่หนึ่งก็นึกออก " สิบสี่ปีเข้าไปแล้วละมั้ง "
" เออ แล้วยังไง " มันกับผมไม่ได้พบกันราว ๆ นั้นจริง ๆ มันโผล่มากรุงเทพ ฯ ครั้งนี้มันแปลก
" สิบสี่ปีที่กูไม่ได้พบมึง กูมีเมียน้อยถึงสี่คน " มันเล่า
" เออ มึงก็เก่ง "
" เก่งห่... อะไรวะ " มันยันตัวตรงก่อนลั่นผรุสวาทออกมา " เดี๋ยวนี้ กูไม่เหลือซักคน "
" อ้าว " ผมร้องออกมาได้แค่นั้น
" มามีเรื่องเอาไอ้คนที่สี่นี่เอง กูเพิ่งจะรู้ว่า การมีเมียน้อยมันก็ต้องมีศิลปะ " มันก้มหน้าครุ่นคิด
" ทำไม เมียมึงจับได้งั้นเหรอ " ผมชักเห็นใจมัน
" ไม่ใช่ยังงั้น เมียเอกกูนะเหรอ " มันว่า " ยังกะแม่พระ กูจะไปมาลีทองที่ไหน ไม่เคยยุ่งกะกู ไอ้คนที่สี่นี่แหละที่มันยุ่งที่สุด "
" มึงเล่ามาดีกว่า " ผมตัดบท " กูขี้เกียจซัก มีอะไรอยากเล่า เล่าไป กูจะฟัง แล้วออกความเห็นทีหลัง "
" กูมีคนที่หนึ่งก็เรียบร้อยดี อีกสามปีกูมีอีกคนก็ยังเรียบร้อยดี ไม่มีใครยุ่งกับใคร ต่างคนต่างอยู่ กูให้กินให้อยู่ให้ใช้ ตามควรแต่อัตภาพทุกคน มาอีกสองปี กูก็มีอีกคน ก็ยังเรียบร้อยดี ต่างคนต่างแยกกันอยู่คนละทิศ ไม่มีอะไรยุ่งหัวใจ อีกสามปีกูก็มาได้คนที่สี่ " มันหยุดพูดเมื่อถึงตอนนี้แล้วถอนหายใจเฮือก
" ก็ดีนี่หว่า " ผมว่า " มึงเก่ง แล้วมึงปกครองเขาได้ยังไง "
" กูไม่ต้องปกครอง ไอ้คนที่สี่นี่เขาจัดการเสร็จ "
" อ้าว ก็ยิ่งดีใหญ่ มึงไม่ต้องยุ่ง หาความสุขทางกามอย่างเดียว "
" ดีกะผีอะไร " มันถอนหายใจอีกเฮือกก่อนจะพูด " ไอ้คนที่สี่นี่มันอาละวาด ไล่ไปทีละคน จนเหลือมันคนเดียว ชั่วระยะเวลาที่มาอยู่กับกูไม่ถึงปี "
" อ้าว ถ้ายังงั้นเขาก็เก่งกว่ามึง เขาคงรักมึงจริง "
" รักกูเรอะ " มันคำราม " ตั้งแต่ได้ไอ้คนที่สี่นี้ กูกับมึงก็ไม่ได้พบกัน กูต้องไปหากินตัวเป็นเกลียว เลี้ยงเมียอีกสี่คน ยิ่งกูมีเงิน เมียกูแต่ละคนก็ถูกไล่ไปทีละคน ๆ จนเหลือไอ้คนที่สี่นี้คนเดียว มันอาละวาดหนีไปหมด "
" นั่นแหละ แสดงว่าเขารักมึงจริง ต้องการอยู่กับมึงคนเดียว "
" ตอนนี้กูยังหาได้ขายคล่อง ก็ยังไม่เป้นไร ตอนนี้มึงก็รู้อยู่ว่ากูหมดตัว แพ้ความเขา เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง มันก็แสดงความรักกูออกมา มันไล่กูออกจากบ้านโว้ย "
" อ้าว " ผมร้องออกมาได้คำเดียวอีก
" มันว่า มันจะไปมีผัวใหม่ให้ดีกว่ากู อยู่กับกูไม่มีความก้าวหน้า มันว่ายังงั้น มันชอบความก้าวหน้า มันเบื่อกู กูอยู่ก็เกะกะมัน "
" เขาก็พูดถูก คนเราต้องหวังความก้าวหน้า "
" อยู่กับกูมาจนป่านนี้ มันก็ก้าวหน้ามาเยอะแล้ว " มันเถียง
" มึงมันอยู่กับที่แล้ว เขาจะก้าวหน้าต่อไป มึงก็ต้องหลีกทางให้เขา ตัดใจเสียเถอะวะ " ผมให้สติมัน"
" กูกลุ้มโว้ย " มันส่ายหน้าช้า ๆ " กลุ้มจริง ๆ "
" กลุ้มเรื่องเมียน้อยนี่นะเหรอ มึงก็บ้า " ผมเตือนสติมัน
" ค่าไฟฟ้าโว้ย " มันตะโกน " กูกลุ้มเรื่องค่าไฟฟ้า มันดันขึ้นราคาไปอีก เห็นบิลแล้วกูจะช๊อค "
ผมนิ่ง หาคำพูดยังไม่ได้ ได้แต่มั่งมองดูมัน
" กูไปละ " มันว่า แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเฉย ๆ
จนบัดนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันไปหาบ้านอยู่ใหม่ หรือไปหาเงินมาเสียค่าไฟฟ้า

***






วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 7

เรื่อง อาทิตย์เบา ๆ


ที่พาดหัวเอาไว้นี้ ไม่ใช่จะเตือนใครให้เบา ๆ เป็นชื่อเรื่องหมายถึงอาทิตย์ที่มาอ่านเรื่องเบา ๆ กันดีกว่า ถึงอาทิตย์ทีก็ควรจะผ่อนความตีงเครียดของสมองที่หนักอึ้งมาตลอดหกวันเสียที เรื่องเบา ๆ วันนี้เก็บตกเอามาจากนิตยสารภาษาฝรั่งฉบับหนึ่ง เห็นว่าคนไทยพอฟังให้เบา ๆ สมองได้ ก็ดัดแปลงของเขามาให้อ่านกัน


ก่อนอื่น คุณเคยรู้จักการเต้นรำของชาวอเมริกาใต้ โดยเฉพาะชาวบราซิลชอบเต้นไหม ที่เขาเรีนกว่า ลิมโบ้ เป็นการเต้นรำที่มีไม้ขวาง เหมือนไม้ขวางสำหรับกระโดดสูงพาดไว้กับเสาเล็ก ๆ สองอันนั่นแหละ แล้วคนเต้นก็ค่อยหงายหลังลงไป แต่มือไม่แตะพื้น ใช้กำลังขาพับเข่าค่อย ๆ เขยิบตัวเข้าไปลอดไม้ขวางนั้น แล้วก็ลดไม้พาดลงมาให้ต่ำลง ทุกครั้งที่คนเต้นลอดไม้ไปได้โดยไม่สัมผัสไม้พาดนั้น จนถึงขั้นต่ำที่สุดเกือบจะเรี่ยดิน ชนิดหลังคนที่กระดึบกระดึบลอดไปนั้น เกีอบติดดิน เรียกว่า ลิมโบ้ (Limbo)

แล้วก็คุณเคยรู้จักนิสัยของชาวสก๊อตไหม คือชาวสก๊อตนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้เหนียวที่สุดในโลก ชนิดที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร และถ้ามีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินได้เป็นไม่ละเว้นโอกาสนั้น

ทีนี้ก็ต้องรู้ด้วยว่าในเมืองฝรั่งนั้น ห้องน้ำสาธารณะ เวลาใครจะเข้าไปใช้ ก็จะต้องหยอดเงินประตูห้องซึ่งเป็นบานพับ มีช่องลอดอยู่ข้างใต้เพียงไม่กี่เซ็นติเมตรจึงจะเปิดได้ ถ้าไม่หยอดเงิน ประตูบารนั้นก็จะเปิดไม่ได้ จะลอดช่องนั้นเข้าไปแสนยาก

ไอ้จังหวะเต้นระบำลิมโบ้นี่แหละ เขาว่ากันว่า เป็นจังหวะที่ชาวสก๊อตคิดค้นขึ้นมาเพื่อลอดเข้าห้องน้ำสาธารณะโดยไม่ต้องหยอดเงิน นิตยสารฉบับนั้นเขาว่า
ยังงั้น


อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องของครูสาวกับลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ ในโรงเรียนชั้นประถมโรงเรียนหนึ่ง และวันนั้นเป็นวันแรกที่เธอเข้าไปทดลองสอนในห้องชั้นประถมสอง อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนก็เข้าไปดูการสอนของเธอถึงในห้องเรียน ครูสาวก็รายงานว่า

" อาจารย์คะ อาจารย์ดูเด็กคนที่นั่งอยู่แถวหน้าคนที่สองนั่นซีคะ แกไม่ควรจะอยู่ชั้นประถมสองนี่อีก แกฉลาดมาก ดิฉันเห็นควรจะส่งแกขึ้นไปเรียนชั้นประถมสามจะดีกว่า "
" จะฉลาดอะไรนักเชียว " อาจารย์ฉงน " ไหน ลองเรียกแกออกมา แล้วตั้งคำถามอะไรที่ยาก ๆ ให้แกตอบดูถี ผมอยากฟัง "

ครูสาวคนนั้นเรียกเด็กชายคนนั้นออกมาหน้าชั้น แล้วตั้งคำถาม
" อะไรที่สุนัขปฏิบัติด้วยการใช้ขาสามขายันพื้น ยกขาข้างหนึ่งขึ้น และผู้ชายใช้สองขายันพื้น ส่วนผู้หญิงต้องย่อตัวลง "
" จับมือ เช็คแฮนด์ ครับ "

" อะไรที่แม่วัวมีอยู่สี่ แต่ครูมีเพียงสอง " ครูถามต่อ
" ขาครับ " เด็กตอบ

" คำอะไรที่เป็นคำ ๆ เดียว แต่มีสองพยางค์ ซึ่งหมายถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย " ครูสาวปล่อยคำถามออกมาอีก
" มิตรภาพ ครับ " เด็กตอบอย่างฉะฉาน

ครูสาวหันมาทางอาจารย์ใหญ่ " เห็นไหมคะ จะให้ดิฉันทำอย่างไรกับแก "

อาจารย์ใหญ่ดึงตัวครูสาวเข้ามาใกล้ ๆ กระซิบที่หูเบา ๆ
" ผมว่า เลื่อนแกขึ้นไปประถมสี่ได้เลย ไอ้ที่คุณถามแกทั้งสามข้อนั่นน่ะ ผมตอบผิดหมด "

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 6

เรื่อง หญิงสามผัว - ชายสามโบสถ์

คำพังเพยอันนี้จะมีมาแต่เมื่อใดไม่ทราบ ตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ก็ได้ยินเสียแล้ว คงจะมีมาแต่โบราณกาลโน่น ผมหันรีหันขวางเพราะโดนเร่งต้นฉบับจากกองบรรณาธิการ เลยคว้าเอาคำพังเพยนี้มาเขียนแก้ขัดไป อย่าอ่านให้เป็นเรื่องจริงจัง และไม่ได้ตั้งใจแขวะใคร

ชายสามโบสถ์นั้น โบราณถือกันว่าคบไม่ได้ ก็คงจะบวชแล้วอยู่โบสถ์ไหนก็ไม่เป็นสุข ต้องเปลี่ยนโบสถ์เรื่อยไป คงจะไม่ค่อยจะลงโบสถ์กับพระรูปอื่น ๆ เขา เปลี่ยนไปได้เพียงสามโบสถ์ก็คบไม่ได้เสียแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงโบสถ์ที่สี่ที่ห้าให้เสียเวลา ตัดสินกันที่โบสถ์ที่สามนี้เลย

สมัยเก่า เกิดมาเป็นลูกผู้ชายต้องบวชให้พ่อแม่เห็นชายผ้าเหลือง ว่ากันว่ายังงั้น มิฉะนั้นจะถือว่ายังเป็นคนดิบอยู่ มีเมียยังไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันได้ยังไง คนสมัยเก่าจึงได้มีเมียกันตั้งแต่อายุยังหนุ่ม ๆ เพราะพอสึกออกมาก็ทนไม่ไหว ต้องหาเมีย บวชแล้วก็ต้องเบียดให้มันคล้องจองกันไป บางคนบวชไม่ยอมสึก หนีทหารก็มี เพราะราชการทหารจะไม่ไปกวนพระสงฆ์องค์เจ้ามาเป็นทหาร แต่ถ้าบวชแล้วย้ายโบสถ์ถึงสามก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเพียงสองโบสถ์จะถือว่ายังไม่เป็นไรหรือเปล่า โบราณไม่เห็นบอกไว้ หรือว่าถ้าไปถึงสี่-ห้าโบสถ์จะเป็นยังไง ก็ไม่บอกไว้อีก คงถือว่าเพียงสามโบสถ์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว ถ้าถึงสี่-ห้าก็ช่างมันเหอะ

ผู้หญิงสามผัวนี่จะหมายถึงมีทีเดียวสามผัว โดยผัวทั้งสามยังอยู่พร้อมหน้ากันหรือไม่ก็ไม่ทราบอีก หรือว่ามีสามผัวแต่อยู่ผัวละบ้าน หรือว่าย้ายผัวไปมีทีละผัวถึงสาม โดยที่ผัวคนแรกและคนที่สองยังเห็น ๆ หน้ากันอยู่ก็ไม่ทราบอีก แต่ถ้าผัวที่หนึ่งตายแล้วมีผัวที่สอง ผัวที่สองเกิดตายไปอีกแล้วมีผัวที่สาม อย่างนี้ก็คงไม่ผิดกติกา จะให้เขาอยู่เดียวดายยังไงคนเดียว เหงาแย่ ไม่มีคนกวนใจ

ผู้หญิงไทยสมัยเก่าเป็นผู้ที่ต้องรักนวลสงวนตัว อยากมีผัวใจจะขาดก็บอกใครไม่ได้ ไอ้หนุ่มต้องทำหน้าที่ไปติดต่อขอกับพ่อแม่เอาเอง ผู้หญิงบางคนจึงต้องอยู่เป็นสาวทึนทึกไปก็ด้วยเหตุนี้ บางคนอยู่จนอายุมากก็ไม่ยอมแต่งงาน พอมาแต่งเอาอายุที่เป็นทึนทึกอย่างว่าแล้ว ได้แต่รำพึงว่า " รู้ยังงี้แต่งเสียตั้งแต่ยังสาวก๊อดี เสียดาย "

ไม่ทราบว่าเสียดายอะไร

สู้ผู้หญิงแขกไม่ได้ ชอบใจผู้ชายคนไหน แม่ไปขอเอามาทำผัวเสียเลย ที่เมืองแขกผู้หญิงมีหน้าที่ต้องไปขอผู้ชาย มันกลับกันอย่างนี้ ทีนี้ไอ้หนุ่มคนไหนเมียง ๆ มอง ๆ ชอบผู้หญิงอยู่ อยากจะไปขอกับพ่อแม่ผู้หญิงก็ทำไม่ได้ ต้องส่งซิกให้ผู้หญิงมาขอ ถ้าไปเจอเอาผู้หญิงไม่รู้ซิกเข้าก็ต้องเหี่ยวแห้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ผู้ชายแขกต้องหันไปชอบผู้ชายแขกด้วยกัน พูดกันรู้เรื่องดี แล้วรสชาติมันก็คงจะพอ ๆ กันอีตอนนั้น ผู้ชายแขกจึงถนัดนักเรื่องพรรค์นี้

อันนี้ผมไม่ทราบ เดาเอายังงั้นเอง

ผู้หญิงไทยสมัยเก่าจึงต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้ให้แนบเนียน ไม่งั้นเขาว่าไม่เป็นกุลสตรี จะหาผัวยากเข้าไปอีก แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีผู้หญิงอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่แคร์ ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นผู้หญิงที่ผ่านอะไรต่ออะไรมาโชกโชน แล้วทนความเรียกร้องของธรรมชาติไม่ไหว ก็ต้องดิ้นรนหาผู้ชาย ใครจะว่าเป็นผู้หญิงกี่ผัวก็ช่าง ไม่หนักที่ใส่หมวกของใคร

ผู้หญิงฝรั่งน่ะไม่ต้องไปพูดถึง ไปกันไกลแล้ว บางคนก่อนที่จะมีผัวเป็นตัวตน แม่ก็ต้องทดลองกันเสียจนรสนิยมต้องกันถึงจะแต่งงานกัน เพราะแต่งกันไปแล้วเลิกยาก ถ้าบังเอิญรสนิยมบนเตียงเกิดขัดกันเข้า ผู้หญิงไทยนั้นจะประพฤติอย่างนั้นไม่ได้ สังคมไม่นิยมนับถือ ถ้าไปทำเข้าคนเขาก็ตั้งชื่อให้เป็นดอกไม้อย่างหนึ่งซึ่งมีราคาเป็นทอง

แต่เดี๋ยวนี้เข้ายุคกระสวยอวกาศ ผู้หญิงไทยชักจะก้าวหน้ากันไปมั่งแล้ว ขนาดเปลี่ยนผัวเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าหล่อนก็มีเหตุผลของเจ้าหล่อนว่า ใครจะทำไม ฉันไม่ได้ไป ... กันบนหัวใคร เวลาฉันปวดหัวใครจะมาช่วยฉันให้หายปวดได้ นี่ก็เห็น ๆ กันอยู่แยะในสังคมไทยทั้งชั้นสูงและชั้นไหน ๆ

สมัยนี้คำพังเพยที่ว่า หญิงสามผัว คบไม่ได้นั้น จึงใช้ไม่ได้ ยิ่งเป็นหญิงมีเงินด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ใช้เงินซื้อผัวเอาเลยทีเดียว จะกี่คนก็แล้วแต่กำลังเงิน ไม่มีใครในสังคมถือสา มีเงินซะอย่าง แต่ผู้ชายสามโบสถ์ ธรรมเนียบไทยยังถืออยู่ว่า คบไม่ได้ คำว่าโบสถ์นี้ก็ไม่หมายความเฉพาะที่เป็นโบสถ์ในวัดจริง ๆ เพียงแต่เปลี่ยนพรรคบ่อย ๆ ก็เข้าหลักแล้ว ถือว่าเป็นคนโลเล แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีเงินก็ยังถือว่าคบได้ แต่จะคบกันจริงใจแค่ไหนนั้น อีกเรื่องหนึ่ง

ขอโทษที ต้องจบเหอะ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ บอกว่าให้อ่านกันเป็นเรื่องเบา ๆ สมอง อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมัน คิดเสียว่าไม่ใช่เรื่องของเราก็แล้วกัน

อมิตพุทธ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 5

เรื่อง อะไรกันวะ

ขึ้นไตเติ้ลเสียดุดัน ความจริงเนื้อในไม่ดุอะไรหรอกครับ ขึ้นหัวเรื่องให้มันตื่นเต้นไปยังงั้นเอง เนื้อในอ่านแล้วก็ต้องร้องว่า " อะไรกันวะ " ก็เท่านั้นเอง อ่านดูก็แล้วกัน

วันอาทิตย์เบา ๆ ก็อ่านเรื่องเบา ๆ กันเสียบ้าง ทำเรื่องหนักให้เป็นเรื่องเบาได้เมื่อไร คุณก็จะไม่เป็นโรคประสาท มองดูอะไร ๆ ก็เป็นเรื่องเล็กไปหมด ประสาทมันไม่กล้ามากิน

คุณ ๆ ได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ฉบับวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ที่ผ่านมานี้หรือเปล่า วันวาเลนไทน์ หรื่อวันแห่งความรักนั้นนั่นแหละครับ

เนื้อข่าวเอากันอย่างย่อ ๆ เขาว่ายังงี้

แขกคูเวตคนหนึ่งได้หมอนวดสาวคนหนึ่งมาจากโรงนวดโรงหนึ่ง เหมากันไปเลยสามวันสามคืนในสนนราคาสองพันบาท คูเวตซะอย่าง น้ำมันไหลนาทีละสามร้อยเหรียญ เขาว่ากันอย่างนั้น สามวันสามคืนสองพันบาทก็เรื่องขี้ผง คุณหมดนวดเราก็ประสบโชคไป สนุกไปด้วยได้เงินด้วย หาได้ง่าย ๆ ที่ไหน หมดนวดตามโรงอาบ-อบ-นวดก็ต้องเป็นผู้หญิง และก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า นวดแล้วก็ยังนาบได้ แล้วนาบกับแขกคูเวตมันสนุนกว่าแขกไทย ๆ แน่ ๆ แขกคูเวตตามข่าวเขาว่ามันเก่งกาจ สามวันสามคืนมันนาบไปได้ ๑๕ ที เฉลี่ยแล้ววันละ ๕ ก็คงคุ้มแล้วสำหรับเงินสองพันบาท ทีนี้มันไม่ยังงั้น แขกก็คือแขก รักษาภาษิตไว้ได้เหมือนกันทุกคน คือที่ว่า ถ้าเจองูกับแขก ให้ตีแขกก่อน รายนี้ก็เหมือนแขกรายอื่น ได้ทางข้างหน้า ๑๕ แล้วก็ขอแถมข้างหลังอีกหนึ่ง

หมดนวดไทยไม่เคย เพราะรู้แต่เพียงว่า ช่องทางข้างหลังนั้นเอาไว้ถ่ายอุจจาระอย่างเดียว ไม่ใช่เอาอะไรใส่เข้าไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายไทยบางคนเขารู้ว่าใส่เข้าไปได้ เพราะข้างหน้าไม่มีทางให้ใส่ แต่นี่เป็นผู้หญิงที่ถึงจะเป็นหมดนวดก็ยังมีศักดิ์ศรี แกก็ไม่ยอมให้แขกเล่นพิสดาร ไม่ได้กลับบ้านกลับช่องตั้งสามวันแล้ว และโดนนาบไปแล้วตั้ง ๑๕ ที ก็บอกว่าขอกลับบ้านละ ขอเงินสองพันที่ตกลงกันไว้ แขกก็บอกว่า " อีนี่ ไม่ได้แถมข้างหลัง เอาไปสามร้อยซี ถ้าไม่ให้ฉันใช้ของดีใส่เข้าไปข้างหลังก็เอาตีนไป " ว่าแล้วแขกก็เตะก้นไปหนึ่งที เรื่องก็ถึงตำรวจ เพราะอีสาวร้องให้บ๋อยไปตามตำรวจ แขกก็ต้องไปโรงพัก

ถึงโรงพัก หมดนวดก็ยังยืนยันขอสองพันบาทให้ได้ แขกก็ยืนยันจะให้สามร้อยให้ได้ เถียงกันไปเถียงกันมาบนโรงพักต่อหน้านายตำรวจเวรซึ่งผมจะไม่เอ่ยชื่อ เพราะท่านเป็นตำรวจที่ร่ำเรียนวิชาการตำรวจมาจากสถาบันไหนก็ไม่ทราบ ท่านตัดสินเรื่องอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อตัดสินไม่ได้ ท่านก็ตกลงใจเอาง่าย ๆ คือ ลงประ จำวันไว้ว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ก็ได้แต่ลงประจำวันไว้แล้วก็ปล่อยตัวไป ให้ไปตกลงกันเอง

อีสาวคนนั้นก็โดนนาบไป ๑๕ ที และถูกเตะฟรีไปอีกหนึ่งที นายตำรวจท่านนั้นไม่รู้จะเอากฏหมายอะไรมาเล่นงานแขก ผมถึงว่า ไม่รู้ท่านสำเร็จเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรมาจากสถาบันไหน ท่านผู้บังคับบัญชาของนายตำรวจท่านนี้ยังอยู่สบายดีกันอยู่หรือครับ ... ?

ไม่ร้องว่า " อะไรกันวะ " ก็ไม่รู้จะร้องอะไรแล้ว


เรื่องเครื่องบินญวนที่บินหลงเข้ามาตกในเมืองไทยนี่ก็เรื่องหนึ่งที่กำลังฮิต คนไทยหลายล้านคนกำลังคอยฟังกันว่า รัฐบาลจะทำยังไงกับเครื่องบินลำนั้นและคนประจำเครื่อง ทางญวนน่ะเขาขอให้ส่งคืนทั้งคนและเครื่อง แถมยังส่งกำลังมาขู่ประชิดทางชายแดนของเรา ทีนี้ผู้ใหญ่ของเราท่านหนึ่งก็มาให้สัมภาษณ์นักข่าวทางวิทยุในภาคเช้าซึ่งบังเอิญผมเปิดฟัง ผมก็จะไม่เอ่ยชื่อท่านละ ท่านบอกว่า เครื่องบินของญวนที่บินหลงทางเข้ามานั้น เข็มทิศอาจจะเสียก็ได้ จึงทำให้เขาบินหลงทางเข้ามา เข็มทิศของผม (ของผู้ใหญ่ท่านนั้น) ที่อยู่ในกระเป๋าของผมยังเคยเสียบ่อย ๆ หรือวิทยุประจำเครื่องบินอาจจะเสียก็ได้ (วิทยุทื่บ้านของท่านก็อาจจะเสียบ่อย ๆ เหมือนเข็มทิศ) ถ้าเราสอบสวนแล้ว ไม่มีอะไร ก็อาจต้องคืนให้เขาทั้งคนทั้งเครื่อง เพื่อรักษาสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนบ้าน

เพ้อไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ !

ผมฟังการให้สัมภ่ษณ์ออกอากาศของท่านเรื่องนี้แล้ว ก็อยากจะลาออกจากความเป็นคนไทยไปเป็นญวนเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ลองเครื่องบินของเราบินหลงเข้าไปในญวนดูมังถี ดูซิว่ามันจะคืนให้เราไหม มันจะตอบเราได้ง่ายกว่าเราโดยไม่ต้องคิดเสียด้วยซ้ำ ทั้งคนทั้งเครื่องออกมาจากญวนได้ก็เก่ง

ผมว่าถ้าเราจะคืนไปให้มันจริง ๆ ละก็ เอากันให้เหมาะ ๆ ไปเลย ส่งคืนให้มันพร้อมกราบมันงาม ๆ อีกด้วยสามที แล้วขอโทษมันที่แผ่นดินบ้านเรามันแข็งเกินไป จึงทำให้เครื่องบินของมันต้องพัง คนตายไปหนึ่ง บาดเจ็บอีกสอง

ไม่ร้อง " อะไรกันวะ " ก็ไม่รู้จะร้องอะไรอีกเหมือนกัน

***


วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 4

เรื่อง ตลกสังคม

อาทิตย์นี้เรามาเล่าเรื่องเบา ๆ สมองสู่กันฟังอีกดีกว่า คุณ ๆ จะได้เอาไปเล่าต่อเป็นที่เฮฮากันในโต๊ะเหล้าโต๊ะข้าวในวันพักผ่อนสุดสัปดาห์อย่างนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก ก็ตลกสังคม ถ้าจะว่าเป็นไทย ๆ กันนั่นแหละครับ วันไหนอาทิตย์ไหนเหมาะ ๆ ผมก็อาจจะเอาเดอร์ตี้โจ๊ก หรือตลกสัปดนมาเขียนให้คุณอ่านบ้างก็ได้ ถ้าบรรณาธิการท่านใจกล้าปล่อยออกมาให้คุณ ๆ อ่านกัน

ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อย่าไปบอกเลยว่าชื่อมหาวิทยาลัยอะไร ท่านศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีหน้าที่บรรยายวิชาสรีรศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับบรรดานิสิตทั้งหญิงและชายทั่วหน้ากัน และศาสตราจารย์ผู้นี้ท่านนี้เป็นนักวิชาการ ท่านก็ไม่มีลูกเล่นลูกล้อที่จะทำให้พวกลูกศิษย์สนุกสนานได้ด้วยคำบรรยายของท่าน ต่างก็เบื่อหน่ายกันทั่วหน้าเมื่อถึงชั่วโมงของท่านศาสตราจารย์ท่านนี้

วันหนึ่งพวกลูกศิษย์ก็นัดแนะกันว่า เมื่อท่านศาสตราจารย์ท่านนี้เข้ามาบรรยาย เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ทุกคนก็จะพากันลุกขึ้นเดินออกจากห้องบรรยายไป โดยเฉพาะลูกศิษย์หญิงทั้งหลาย เพราะท่านศาสตราจารย์ผู้นี้นอกจากจะทำให้บรรยายกาศหงอยเหงาแล้ว ท่านก็ยังมีอายุมาก ไม่เป็นที่รื่นรมย์สำหรับบรรดานิสิตหญิงเลย

ท่านศาสตราจารย์ท่านนั้นก็รู้ถึงนัยอันนี้ และรู้ถึงการนัดแนะของพวกลูกศิษย์ที่จะทำกันในวันนั้นเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน แต่ท่านก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร คงเข้าห้องบรรยายตามปกติ เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปตามปกคิ บรรยายวิชาการอันน่าเบื่อหน่ายนั้นอย่างเคย และสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของบรรดาลูกศิษย์อยู่แล้ว ทันทีท่านก็หันเหการบรรยายออกมานอกเรื่องกลางคันว่า

" เห็นเขาว่าที่โคราช ทหารอเมริกันเพิ่มจำนวนขึ้นอีกมาก และทำให้โสเภณีที่นั่นชักจะขาดแคลน ..."

ถึงตอนนี้ บรรดานิสิตหญิงที่เริ่มจะเซ็ง ๆ ก็มองตากันตามที่นัดแนะกันไว้ แล้วก็พากันลุกขึ้นหอบตำราเดินไปทางประตูห้อง

" ประเดี๋ยวก่อน พวกเธอทั้งหลายน่ะ " ท่านศาสตราจารย์พูดขึ้น ชี้นิ้วไปที่พวกนิสิตหญิงเหล่านั้น " รถไฟขบวนที่จะไปโคราช กว่าจะออกก็ห้าโมงเย็นนะเธอนะ "

เรื่องนี้จะให้ชื่อว่า ทีเด็ดศาสตราจารย์ ก็ได้


ทีนี้ก็มาถึงเรื่องคดีหย่าร้างระหว่างผัวเมียที่ทีชื่อในวงสังคมคู่หนึ่ง

ฝ่ายภรรยาฟ้องหย่าสามีด้วยข้อหาหลายประการ ตั้งแต่ความเจ้าชู้ การทอดทิ้งบ้านช่องออกไปหาความสำราญนอกบ้าน แถมยังแอบไปมีเมียน้อยอีก ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายภรรยาก็ยังซื่อสัตย์จงรักภักดีและเสียสละอดทนทุกอย่าง การสืบพยานดำเนินมาจนถึงวันที่ตัวภรรยาผู้เป็นโจทก์จะต้องขึ้นศาลและให้การเป็นพยานตัวเองเป็นพยานสุดท้าย เธอได้ให้การต่อศาล ตอบข้อซักถามของทนายโจทก์ของเธอถึงคุณงามความดีของเธอ และความซื่อสัตย์ที่เธอมีต่อสามีตลอดมา แล้วกลับได้รับการตอบแทนด้วยความไม่ซื่อของสามี ทำให้ทั้งศาลและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีนี้มีความเห็นใจเธอทั่วหน้ากัน เมื่อจบขบวนการฝ่ายโจทก์แล้ว ก็ถึงคราวของฝ่ายจำเลยจะซักค้านบ้าง ทนายจำเลยก็ลุกขึ้นไต่ถามถึงชื่อของเธอ นามสกุล และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีซึ่งเป็นฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นการเปิดฉากการซักถาม แล้วทนายก็เดินกลับไปที่โต๊ะที่นั่งฝ่ายจำเลย หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมายืนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองภรรยาซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ แล้วถามว่า

" คุณโสภีครับ ผมขอให้คุณตอบคำถามของผมต่อไปนี้อย่างจริงใจ และคุณต้องตอบด้วยความจริง เพราะว่าขณะนี้คุณให้การในฐานะพยาน จะให้การเท็จไม่ได้ คุณฟังให้ดีนะครับ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ นี้ คุณได้นั่งแท็กซี่คันหนึ่งไปสองต่อสองกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ไปยังสวนลุมพินี คุณสั่งให้รถแท็กซี่คันนั้นแล่นเลยไปทางเกาะลอย แล้วให้จอดรถไว้ในมุมมืดบริเวณนั้น แล้วคุณก็ไล่ให้คนขับรถแท็กซึ่คนนั้นไปเสียที่อื่น โดยคุณให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เขาไป และไม่ให้เขากลับมาภายในสองชั่วโมง แล้วคุณกับชายหนุ่มคนนั้นก็แสดงบทรักกันในรถแท็กซี่คันนั้นโดยมิได้คำนึงถึงศีลธรรมประเพณีอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งมีคนเดินผ่านคุณไป คุณก็ยังไม่ได้สังเกตหรือรู้สึกตัวทั้งสองคน โปรดตอบผมว่าจริงหรือไม่ "

ใบหน้าของเธอผู้นั้นถอดสี ชั่วครู่เดียว แล้วเธอก็คุมสติได้ เอ่ยเอื้อนวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาเยือกเย็นว่า

" กรุณาบอกดิฉันอีกทีได้ไหมคะว่า วันนั้นเป็นวันที่เท่าไร เดือนอะไรคะ "


ในวงเหล้าวงข้าวที่ค่อนข้างจะมีแต่สมาชิกที่สนิท ๆ กัน ไม่ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยหรือไม่ มักจะมีเรื่องตลก ๆ เบา ๆ สมองมาคุยสู่กันฟัง ย่อยอาหารและทำให้เหล้าเดินหน้าจนลืมว่าจะหมดขวด โจ๊กพวกนี้ฝรั่งเรียกว่า เดอร์ตี้โจ๊ก เราก็ให้ชื่ออย่างไทย ๆ ว่า ตลกสังคม

พ่อหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพาคุณสาวซึ่งจ้องตากันมานานแล้วไปกินเหล้ากินข้าวจนอารมณ์สุกงอมแล้ว ก็พาเจ้าหล่อนมาพักผ่อนที่ห้องพักของเขา ซึ่งแน่ละ ต้องเป็นห้องชายโสด แต่จะเป็นห้องเดียวที่เขามีอยู่หรือไม่นี่ เราไม่ยืนยันหรือนั่งยันนอนยันได้ เขาคงจะได้พยายามที่จะพิชิตหล่อนมานานแล้ว แต่ก็คงจะเป็นแค่ความคิด ใจยังไม่กล้าเอ่ยเอื้อนออกมา ก็เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษจนน่าสงสาร

ในค่ำวันนั้น หลังจากพ่อหนุ่มได้บรรจงปรุงสุราพิเศษให้สาวเจ้าถือในมือแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องพูดอะไรกันให้เด็ดขาดไปเสียที เมื่อได้รวบรวมความกล้าหาญไว้ได้ที่แล้ว เขาก็เอ่ยวาจากับหล่อน ในขณะที่มือหนึ่งโอบหล่อนไว้ อีกมือหนึ่งถือถ้วยมาร์ตินี่ที่กำลังได้ที่อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พลางเขี่ยปอยผมของหล่อนเล่นว่า

" นี่แน่ะ โฉมศรี เธอจะขัดขืนไหม ถ้าฉันจะขอให้เธอเป็นของฉันเสียวันนี้ เดี๋ยวนี้ "

โฉมศรีโปรยนัยน์ตากันน่ารักของหล่อนมองดูเขาแล้วเอ่ยอันซึบซาบของหล่อนออกมาว่า

" ฉันยังไม่เคยเลยนี่คะ "

" ไม่เคยร่วมรสกับใครเลยงั้นเหรอ " พ่อหนุ่มอุท่านออกมาด้วยความผิดหวัง

" พูดบ้า ๆ " โฉมศรีตวัดสายตา " ไม่เคยขัดขืนต่างหากเล่า "

คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้าคุณเป็นพ่อหนุ่มคนนั้น คุณจะทำอย่างไรต่อไป ... ?


ทีนี้ก็มาถึงเรื่องพ่อหนุ่มรุ่นกะทง ผู้ยังไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องพรรค์นี้อีกคน

วันหนึ่ง เขาขับรถพาคู่ควงสาวสวยของเขาไปตระเวณรับลมกันพอสมควรแล้ว ก็มาจอดรถสงบนิ่งอยู่ใต้แสงจันทร์วันเพ็ญที่สถานที่ที่สงบแห่งหนึ่ง เขาลูบไล้เจ้าหล่อนด้วยความพิศสวาท ด้วยมือข้างที่ว่างจากการโอบกอดหล่อนอยู่ เขาลูบเลื่อนมือจากหัวเข่าเปลือยของหล่อนเรื่อยขึ้นไปถึงชายกระโปรง เขี่ยชายกระ
โปรงเล่นและลูบไล้อยู่ที่ตรงนั้น พลางปากก็พร่ำว่า

" ผมรักคุณ รักคุณเหลือเกิน "

เจ้าหล่อนนั่งสะท้านวาบหวิวจากการลูบไล้ของเขา พลางเอ่ยเอื้อนวาจาแผ่ว ๆ ออกมาว่า

" สูงอีกหน่อยซีคะ "

" ผมรักคุณ รักคุณเหลือเกิน " ไอ้หนุ่มตะเบ็งเสียงสูงขึ้นไปอีก พลางลูบไล้อยู่อย่างนั้น

น่ารำคาญไหมคุณ ... ?


ในหมู่คณะของพวกเราต่างก็แปลกใจกันมากที่อยู่ ๆ พ่อยอดชายนายพิภพกับนงคราญเกิดถอนหมั้นกันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่างก็ไต่ถามพ่อตัวดีว่า มันเป็นเพราะอะไร

ยอดชายนายพิภพก็อรรถาธิบายให้ฟังว่า

" เอายังงี้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นคุณ คุณยังคิดที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่มีแต่นิสัยไม่ซื่อสัตย์ โกหกพกลมอยู่ตลอดเวลาไหม และยิ่งกว่านั้น คน ๆ นั้นยังมีแต่ความเห็นแก่ตัว ขี้เกียจ แล้วก็ยังดีแต่พูดจาเย้ยหยันอยู่เสมอ "

" แน่นอน " พวกเราตอบออกมาเป็นเสียงเดียวพร้อม ๆ กัน

" นั่นแหละ " พิภพตอบอย่างอ่อนใจ " นงคราญเขาก็คิดเหมือนกันอย่างนี้แหละ


ว่าจะจบเพียงแค่นี้ แต่นึกถึงความน่าเอ็นดูของเด็กขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ก็ต่อเสียหน่อย

เด็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ สถานที่ที่มีรั้วรอบขอบชิดแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในนั้นเป็นที่ผึ่งแดดของสมาชิกนักนิคมอาบแดด บังเอิญมีรูที่รั้วอยู่รูหนึ่ง เด็กคนหนึ่งก็แอบดูที่รูนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าข้างในมันเป็นอะไร เด็กคนที่ไม่มีโอกาสดูก็ถามเพื่อน

" เห็นอะไรมั่งวะ แกละ "

" คนโว้ย แยะเชียว "

" ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ "

" ไม่รู้ซีวะ มันไม่ใส่เสื้อผ้ากันซักคน "

***

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ประวัติของ พ.ต.อ. (พิเศษ) พุฒ บูรณสมภพ

เรื่อง ประวัติ

อันที่จริง ควรจะต้องเริ่มจากประวัติของท่านผู้เป็นเจ้าของเรื่องตัวจริง ก่อนจะนำเรื่องประพันธ์ของท่านขึ้นเผยแพร่ แต่ไม่เป็นไร คงไม่ถือกัน ก็เลยลงไว้ให้อ่านกันไว้บ้างว่า กว่าบุคคลคนหนึ่งจะเดินทางมาจนถึงบั้นปลายนั้น เขาได้ผ่านอะไรมาบ้าง

เด็กชาย พุฒ บูรณสมภพ เกิดที่กรุงเทพ ฯ เมื่อวันพุธ (กลางคืน) ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 เป็นบุตรคนที่ 5 ของ พระยาสิงห์บุรานุรักษ์ และ คุณหญิง หลิน (สกุลเดิม จุลกะ) มีพี่น้องรวม 8 คน ดังนี้

1. น.ส. พเยาว์ บูรณสมภพ (เสียชีวิต)
2. นายอิทธิ บูรณสมภพ (เสียชีวิต) สมรสกับ นาง ทนอมศรี (อัศวรักษ์)
3. นางลักษณะ บูรณสมภพ (เสียชีวิต) สมรสกับ นายเทียบ อัศวรักษ์ (เสียชีวิต)
4. นางวันณี ไชยโรจน์ (เสียชีวิต) สมรสกับ พลโท อำนวย ไชยโรจน์ (เสียชิวิต)
5. พ.ต.อ. (พิเศษ) พุฒ บูรณสมภพ สมรสกับนางทิพยา (นามและสกุลเดิม ทับทิม ธรรมสโรช) (เสียชีวิต)
6. นางนอบศิริ สมรสกับนายจินดา กาญจณารมณ์
7. นาย นนท์ บูรณสมภพ สมรสกับ รศ. ดร. ตรึงใจ (เกิดศิริ)
8. น.ส. สุนันท์ บูรณสมภพ

ร.ต.ท. พุฒ บูรณสมภพ (ยศขณะนั้น) เข้าพิธีสมรสกับ น.ส. ทิพยา (ทับทิม) ธรรมสโรช ธิดาคนที่ 2 ของขุนวิเทศธราธร และนางเชื่อม ธรรมสโรช เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2486 และมีบุตรรวม 5 คน คือ

1. นางพ้ทธยา (ตุ้ย) สมรสกับ นาย จามร ชุมสาย ณ อยุธยา
2. นาง ธาริณี (ตุ๊ก) สมรสกับ นาย ทรงศักดิ์ ทวีเจริญ ทจ.
3. ว่าที่ ร.ท. ธีรพงศ์ (ติ๊ก) บูรณสมภพ สมรสกับ นาง กัญห์ชลี (เวชประสิทธิ์)
4. ผศ. ดร. พัชราวลัย (แหม่ม) สมรสกับ นาย วิศรุต ชัยปาณี
5. ดร. พงษ์รพี (ต้อง) บูรณสมภพ

มีหลานปู่และหลานตารวม 8 คน และเหลน 1 คน

เจ้าคุณปู่ส่งคุณพ่อเข้าเรียนประจำในโรงเรียนเซนต์โยเซฟ คอนเวนต์ จนอายุได้ 11 ปี เพื่อให้แม่ชีดำที่โรงเรียนฝรั่งในสมัยนั้นอบรมนิสัยที่ค่อนข้างจะเป็น 'คนเฮี้ยว' อยู่สักหน่อย ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจึงมีโอกาสได้เรียนภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก ๆ และต่อมาได้จัดการให้ลูกสาวคนโต 2 คนได้เรียนภาษาฝรั่งเศสก่อนภาษาอังกฤษ ด้วยเห็นว่า เมื่อรู้ภาษาฝรั่งเศสก่อนแล้วนั้น ภาษาอังกฤษจะง่ายและมาเอง เพราะท่านมีประสบ-การณ์มาก่อนแล้ว

ต่อจากนั้น คุณพ่อได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนสวนกุหลายตามลำดับจนจบชั้นอุดมศึกษา

คุณพ่อเป็นคนที่เรียนเก่งมาก และสอบได้ที่หนึ่งทุกปี ท่านอยากเป็นทหารอากาศ เป็นนักบิน แต่ท่านตัวเตี้ยและเล็ก (160 ซม.) ท่านจึงพยายามโหนประตูห้องน้ำทุก ๆ วัน จนสูงขึ้นถึง 180 ซม. ท่านสอบไม่ติดทหารอากาศ แต่มาติดโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จปร. แทน จึงได้เข้ารับราชการเป็นตำรวจมาถึงปี พ.ศ. 2500 ท่านครองตำแหน่งนักเรียนดีเด่นมาโดยตลอด ได้เป็นหัวหน้าชั้นและผู้บังคับหมวดภายในโรงเรียนเสมอมา ทำให้ออกจะติดเป็นคนดุและเด็ดขาดมาก

13 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 ท่านสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย จปร. ด้วยยศ ร้อยตำรวจตรี และได้ไปประจำการอยู่ที่สภานีตำรวจชลบุรี มี พ.ต.ต. หลวงนริทรศรศักดิ์ เป็นผู้กำกับ ต่อมาคุณพ่อได้รับการเลื่อนยศเป็น ร้อยตำรวจโท ตำแหน่งสารวัตรสืบสวนกลาง ประจำโรงพักภาษีเจริญ ชนะสงคราม และย้ายไปเป็น สารวัตรสอบสวน ประจำกรมตำรวจ กองกำกับการ 2 สันติบาล (สืบสวนเรื่องการเมืองโดยเฉพาะ) โดยมี
พ.ต.ต. ประจวบ กีรติบุตร เป็นผู้กำกับการ

9 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 เกิดรัฐประหาร สมัยที่พลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ควบคุมรัฐบาล ร.ต.อ. เชื้อ สุวรรณศร เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย

ท่านปรีดี ฯ ถูกจับโดย พ.ท. ละม้าย อุทยานานนท์ ผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 3 บางซื่อ
หัวหน้ารัฐประหาร คือ พลโท ผิน ชุณหะวัน ต่อมา คณะรัฐประหารได้เชิญ นาย ควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป๋นนายกรัฐมนตรี ช่วงเวลานั้น คุณพ่อรับผิดชอบฝ่ายการข่าว กอง 2 สันติบาล

คุณพ่อเป็นอาสาสมัครของพลพรรคเสรีไทย (ในสงครามโลกครั้งที่ 2) มีหน้าที่นำขบวนกำลังไปรับร่มลำเรียงอาวุธและยารักษาโรคจากพันธมิตรอเมริกา ส่งลงมาที่ท้องสนามหลวง

หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น ได้มีคำสั่งย้ายคุณพ่อให้เข้ามาเป็นรองสารวัตรประจำโรงพักชนะสงคราม เพื่อมาคุมหน่วยเสรีไทยที่บ้านมลิวัลย์ ถนนพระอาทิตย์ (วังกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์) ซึ่งสมัยนั้น หนึ่งในเสรีไทยมีชื่อว่า นาวาอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา (ยศในขณะนั้น)

จากโรงพักชนะสงคราม คุณพ่อถูกเรียกตัวให้ไปประจำอยู่ที่กองตรวจสันติบาล ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อปราบโจรที่ชุกชุ่มหลังสงคราม

1 ตุลาคม พ.ศ. 2491 คณะเสนาธิการกองทัพบก คิดปฏิวัติเพื่อขับไล่รัฐบาล แต่ไม่สำเร็จ คุณพ่อถูกมอบหมายให้รับหน้าที่สอบสวนคณะกบฏเสนาธิการ

16 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2492 เกิดรัฐประหารวังหลวง แต่ไม่สำเร็จ ซึ่งเป็นเหตุให้ นาย ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศจนจบชีวิตที่ประเทศฝรั่งเศสในที่สุด

พ.ศ. 2493 กรมตำรวจตั้งหน่วยปฏิบัติการขึ้นหลายหน่วย คือ หน่วยรถเกราะหนักและเบา และหน่วยพลร่ม หน่วยตำรวจตะเวนชายแดน หน่วยตำรวจวัง และตำรวจน้ำ โดยมีแนวร่วมเป็นบริษัทการค้าชื่อ SEA Supply (South East Asian Supply) และ หน่วย O.S.S. (Office of Strategic Services) ของอเมริกาให้ความช่วยเหลือฝึกฝน

หน่วยพิเศษมี พ.ต.ต. เยื้อน ประภาวัตร เป็นผู้บังคับการ
ร.ต.อ. วิชิต รัตนภาณุ เป็น สารวัตรแผนก 1 กองตำรวจเหนือ
ร.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ เป็นสารวัตรแผนก 2 รับผิดชอบหน่วยรถเกราะเบา
ร.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี เป็นสารวัตรแผนก 3 กองตำรวจนครบาลธนบุรี รับผิดชอบหน่วยรถเกราะหนัก

ในปีเดียวกันนี้ กรมตำรวจได้ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน นครปฐมขึ้น และมี
พล ต.อ. หลวงชาติตระการโกศล เป็นอธิบดีกรมตำรวจ

หลังจากเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน พล ต. อ. เผ่า ศรียานนท์ ก็โอนย้ายจากทหารบกมาเป็นอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ โดยคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กิจการของกรมตำรวจเฟื่องฟูขึ้นในสมัยนี้เอง

พ.ศ. 2494 รัฐบาลกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติประเทศไทยทางเรือ โดยเสด็จ ฯ ลงประทับบนเรือ จากท่าเรือนคร Genoa ประเทศอิตาลี กลับประเทศไทย

คุณพ่อได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในคณะบุคคลที่เดินทางไปรับเสด็จ ฯ ด้วย โดยพล ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ คัดเลือกนายตำรวจฝีมือดีของกรมตำรวจไว้ 4 นายเพื่อถวายการอารักขา คือ

1. ร.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
2. ร.ต.อ. อรรณณพ พุกประยูร
3. ร.ต.อ. วิชิต รัตนภาณุ
4. ร.ต.อ. พจน์ เภกะนันท์ (ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ ในขณะนั้น)

นายตำรวจทั้ง 4 ต้องไปรอที่เมือง Lausanne ประเทศสวิต ฯ เพื่อถวายการอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระคู่หมั้น ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร และนำเสด็จ ฯ ไปที่ท่าเรือในนคร Genoa ประเทศอิตาลี

คุณพ่อเขียนเล่าไว้ว่า ได้ชื่นชมพระบารมี และได้ร่วมเล่นดนตรีที่ท้ายเรือพระที่นั่งเป็นประจำทุกเย็นตลอด 28 วัน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป่า Saxophone และคุณพ่อเล่นกีตาร์บ้าง ตีกลองบ้าง เล่นเปียโนบ้าง บางคืนก็ทรงพระราชทานเป็นเงินตั้งวงไพ่ให้ทุกคนที่ร่วมวงคนละ 5 ปอนด์ เป็นรายการย่อยพระกายาหาร คุณพ่อได้เขียนถึงเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งของชีวิตท่านในตอนนี้ ในหนังสือ ต่วนตูน ตอน 'พระบารมีพระมากพ้นรำพัน' เล่าเรื่องที่ได้ถวายการอารักขาทั้งสองล้นเกล้า ฯ บนเรือที่เสด็จ ฯ นิวัติพระนคร ได้มีผู้นำไปออกอากาศในรายการโทรทัศน์ในเวลาหลายสิบปีต่อมา ก่อนที่คุณพ่อจะล้มป่วยลงและจากโลกนี้ไป

พ.ศ. 2495 คุณพ่อได้รับเลื่อนยศเป็น พ.ต.ต. และไปประจำอยู่สถานีตำรวจบางรัก หลังจากนั้น ได้มีพระบรมโองการแต่งตั้งให้นายตำรวจทั้ง 4 นายเป็นนายตำรวจประจำราชสำนัก (ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งราชองครักษ์ของทางราชการทหารในสมัยนี้)

ต่อมาอีกไม่นาน ท่านอธิบดีกรมตำรวจ ได้ตั้งรางวัลให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่ทำชื่อเสียงทางการปราบปราม และทางการงานที่เป็นประโยชน์ต่อราชการตำรวจ ไม่ว่าฝ่ายภูธรหรือนครบาล โดยได้รับรางวัลจากท่านอธิบดีกรมตำรวจเป็นแหวน ซึ่งรู้จักกันว่า 'แหวนอัศวิน' ใส่สวมที่นิ้วนางด้านขวา ต่อมามีอัศวินมากขึ้น จึงมีการเพิ่มเติมเพชรประดับขึ้นเรียกว่า ' อัศวินแหวนเพชร' (มีเพียง 30 คน และยุติอยู่เพียงจำนวนนั้น)

(อาหารที่ชื่อว่า บะหมี่อัศวิน เกิดขึ้นในสมัยนั้น ที่กลุ่มอัศวินแหวนเพชรสั่งพิเศษ ใส่เครื่องสารพัดรวมกัน กลายเป็นอาหารจานอร่อยประจำร้านสีฟ้าราชวงศ์ต่อมา)

พ.ศ. 2495 วงดนตรีสากล ชื่อ 'วงประสานมิตร' ถือกำเนิดขึ้น รวมนักดนตรีชั้นหัวหน้าวงชื่อดังหลายท่าน เช่น ประสิทธิ์ พยอมยงค์ สมาน กาญจนผลิน พิบูลย์ ทองธัช จำนรรจ์ กุณฑลจินดา อุโฆษ จันทร์เรือง ฯลฯ มีการฝึกซ้อมกันทุกวันที่บ้านในซอยประสานมิตร (สุขุมวิท 23 ปัจจุบัน) โดยมีต้นแบบจากวง Grand Miller ซึ่งเป็นวงดนตรีระดับแนวหน้าของอเมริกาในสมัยนั้น นำเอาเพลงไทยเดิม เช่น ลาวดวงเดือน เป็นต้น มาบรรเลงเป็นทำนองสากล ออกอากาศที่สถานีวิทยุ ททท ของกรมประชาสัมพันธ์ ทำเอานักเพลงตื่นเต้นกันทั้งเมือง กลายเป็น Talk of the Town ของสมัยนั้น วงประสานมิตรนี้ได้ออกเล่นในงานรัฐธรรมนูญ และที่เวทีลีลาศสวนอัมพร ซึ่งเป็นเวทีของกลุ่ม ไฮโซในสมัยนั้น หลายครั้งในเวลาต่อมา นักดนตรีและนักร้องเป็นคนไทยแท้ ๆ ทั้งหญิงและชาย เป็นวงดนตรีไทยวงแรกที่สามารถบรรเลงเพลงสากลให้คนไทยฟังได้เหมือนวงจากต่างประเทศ จากนั้นไม่นาน วงประสานมิตรก็ได้เข้าสังกัดกองดุริยางค์ กรมตำรวจ

พ.ศ. 2495 คุณพ่อถูกส่งตัวไปอบรมดูงานที่ Scotland Yard ประเทศอังกฤษ ได้เลื่อนยศเป็น พ.ต.ท. และมีคำสั่งให้ไปศึกษาด้านการสืบสวนทางการเมืองโดยเฉพาะ เป็นเวลาประมาณ 1 ปีเต็ม โดยคุณพ่อได้ตะเวณดูงานในประเทศแถบ Scandinavia และดูงานด้านตะเวณชายแดนที่ Germany, Danemark, Holland, Norway และ Sweden เพื่อนำวิธีการมาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ ของกรมตำรวจในประเทศไทย

พ.ศ. 2496 กรมตำรวจมีคำสั่งให้คุณพ่อย้ายไปเป็นรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาล ฝ่ายต่างประเทศ โดยมีพล ต. จ. รัตน์ วัฒนมหาตม์ เป็นผู้บังคับการ

พ.ศ. 2496 คุณพ่อ และ พ.ต.ท. พันศักดิ์ วิเศษภักดี ได้ร่วมกันสนับสนุนให้กระทรวงเศรษฐการเข้าถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกรุงเทพ จำกัด โดยได้รับการติดต่อจาก นายชิน โสภณพนิช ทำให้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ของธนาคารกรุงเทพให้มั่นคงขึ้น และเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ระยะหนึ่ง

พ.ศ. 2497 กำเนิดหนังสือพิพม์ชาวไทย ซึ่งคุณพ่อได้รับมอบหมายให้ไปดูแลเขียนบทความโต้ตอบหนังสือพิมพ์ที่โจมตีกรมตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'สารเสรี' และ ' ไทยรายวัน' ในสมัยนั้น

คุณพ่อได้รับมอบหมายให้จัดพิมพ์นิตยสารรายเดือนของกรมตำรวจ ชื่อ ' อาชญากรรม' ที่นี่เป็นที่กำเนิดของนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน เรื่อง 'นักสืบพราน' โดยคุณพ่อใช้นามปากกาว่า 4411 ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวของท่าน สมัยยังเป็นนักเรียนนายร้อยอยู่ที่ จปร. ท่านนำแบบฉบับของนักสืบที่เป็นทนายความของ Earl Standley Gardner ชื่อ Perry Mason พร้อมเลขานุการคู่ใจ Dolly Sreet ที่รู้ใจเจ้านายเป็นอย่างดี ร่วมกันต่อสู้กับอิทธิพลของตำรวจ กว่าจะทำงานแต่ละเรื่องได้สำเร็จ เป็นนวนิยายที่ติดตลาดของอเมริกาในสมัยนั้น

นักสืบพราน เจนเชิง พระเอกของคุณพ่อ ก็มีเลขานุการคู่ใจชื่อ กัลยา ชาญวิทยา โดยคุณพ่อได้นำคดีจริงที่เคยทำมาในยุคที่วุ่นวายอยู่กับงานปราบปรามที่กองตำรวจนครบาล มาดัดแปลงปรุงแต่งให้ตื่นเต้น และได้กลายมาเป็นนวนิยายที่คนทั่วเมืองไทยติดตามอ่านกันอย่างใจจดใจจ่อ

ต่อมา คุณพ่อได้รับมอบหมายให้ดูแลกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สองของกรมตำรวจ ชื่อเรื่อง 'เหยื่ออาชญากรรม' มีครูเนรมิตรเป็นผู้กำกับการแสดง ครูจรี อมาตยกุล เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ และคุณพ่อได้รับคำสั่งให้แสดงเป็นพระเอกของเรื่องนี้ โดยมีคุณลัดดา สุวรรณสุภา นางงามชลบุรีของสมัยนั้น รับบทเป็นนางเอก

ภาพยนตร์เรื่อง นักสืบพราน ตอน 'จำเลยไม่พูด' ได้ถูกสร้างขึ้นในเวลาต่อมา คุณพ่อก็ได้รับคำสั่งให้รับบทพระเอกอีก เนื่องจากครูมารุต (ทวี ณ บางช้าง) ไม่สามารถหานักแสดงที่มีลักษณะตามที่คุณพ่อวางไว้ได้ นางเอกเป็นนางงามจังหวัดเชียงราย ชื่อ วาสนา รอดศิริ รับบทเป็น กัลยา ชาญวิทยา

29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินขบวนมุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลลาออก เหคุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดวีรบุรุษสะพานมัฆวาน ชื่อ ร. อ. อาทิตย์ กำลังเอก (ยศในขณะนั้น)

17 กันยายน พ.ศ. 2500 เกิดรัฐประหารโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัขต์ คุณพ่อเล่าว่า ท่านและท่านอธิบดีกรมตำรวจทราบมาก่อนแล้วว่า จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ท่านอธิบดี ฯ เกิดความเบื่อหน่ายในอำนาจทางการเมือง และการแย่งชิงกัน เมื่อเพื่อนอยากได้อำนาจ ท่านก็ไม่ต่อสู้ อันจะทำให้คนไทยเกิดการสูญเสียมากกว่าเป็นผลดี ท่านและนายตำรวจฟังข่าวปฏิวัติอยู่ที่บ้านลับแห่งหนึ่ง ได้พร้อมกันโยนปืนพกประจำตัวลงไปในบ่อน้ำในสวนลุมพินี แล้วพากันไปมอบตัวที่กองบัญชาการทหารบกในเย็นวันเดียวกัน ตามที่วิทยุได้มีประกาศเชิญของฝ่ายปฎิวัติ ตามรายนามดังต่อไปนี้

1. จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
2. จอมพลอากาศ ฟื้น ฤทธาคณี แม่ทัพอากาศ
3. จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล แม่ทัพเรือ
4. พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมตำรวจ
5. จอมพล ผิน ชุณหะวัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

18 กันยายา พ.ศ. 2500 พล ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ พ.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี และ พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ ถูกส่งตัวไปประเทศสวิตเซอร๋แลนด์ โดยเครื่องบิน Swissair โดยมีคำสั่งจากหัวหน้าคณะปฏิวัติให้ไปประจำที่สถานทูตไทยในกรุง Bern ประเทศสวิต ฯ ในฐานะคณะทูตพิเศษกินตำแหน่งเลขานุการเอก แต่เป็นการเดินทางแบบตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว (One way) ชั้นหนึ่ง ไม่มีตั๋วกลับ หนังสือเดินทางแบบ Diplomatic มีวีซ่าเข้าประเทศสวิต ฯ เรียบร้อยทุกประการ

แต่เมื่อถึงประเทศสวิต ฯ แล้ว ก็ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่ง เนื่องจากเมื่อเครื่องบินแวะลงที่กรุงการาจี ได้มีหนังสือพิมพ์อินเดียส่งผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์ และไปออกข่าวผิดพลาดว่า คณะนี้จะชิงอำนาจกลับให้ได้ จึงเป็นที่มาของการเข้าใจผิดในช่วงแห่งการสับสนนั้น

ชีวิตในต่างประเทศนั้น คุณพ่อได้เขียนไว้หลายตอน ซึ่งจะได้นำมาเล่าสู้กันฟังในรายละเอียดต่อไป

คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ณ โรงพยาบาลตำรวจ ปทุมวัน กรุงเทพ ฯ เมื่ออายุได้ 80 ปี

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การเมืองที่ทำให้พวกเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศกันนานกว่า 10 ปีนั้น เป็นการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส พวกเราได้ภาษาและได้รับความรู้อย่างดีจากโรงเรียน International School of Geneva ได้มีวิสัยทัศน์ที่กว้าง ทำให้เราเห็นสัจธรรมว่า ในเรื่องการเมือง ' ไม่มีมิตรแท้ และไม่มีศัตรูถาวร' อำนาจคือ 'หัวโขน' ที่ไม่ควรยึดติด

'ความดี' เท่านั้นที่คงอยู่ตลอดไป
'คุณธรรม' คือสิ่งที่ทุกคนต้องยึดมั่นไว้เพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต
ต้องทำในสิ่งที่ 'ถูกต้อง' ไม่ใช่ 'ถูกใจ' และ
ต้องรู้จัก 'เสียสละ' เพื่อส่วนรวม ประเทศชาติจึงจะอยู่รอด



วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 3

เรื่อง ตื่นเมืองนอก

เมื่อซักปี ๒๔๙๓ ท่านอธิบดีเผ่า เจ้านาย หอบหิ้วเอาพวกผมไปเมืองนอก เพราะได้รับคำสั่งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ราชการอันมีความสำคัญสูงสุด คือ ไปถวายความอารักขาแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเสด็จนิวัติพระนครทางเรือ

เจ้านายพาพวกผมไปตั้งหลักที่กรุงโรม นครหลวงของอิตาลี ก่อนจะเดินทางผ่านฝรั่งเศสเข้าสวิตเซอร์แลนด์ทางรถไฟ เราต้องสำรวจเส้นทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินเสียก่อนที่จะปฎิบัติการจริง ๆ

นับเป็นครั้งแรกที่พวกผมได้มีโอกาสไปสูดกลิ่นอายของเมืองฝรั่ง ทุกคนต่างตื่นเต้นกันทั่วหน้า เว้นแต่เจ้านายคนเดียว เพราะท่านเจนเสียแล้ว

ทางสถานทูตไทยที่กรุงโรมจองโรมแรมชั้นหนึ่งให้เราพักกลางใจกรุงโรม ชื่ออะไร ขอโทษ ผมลืมเสียแล้ว

จากสถานีรถไฟก็นั่งรถยนต์ที่่ท่านทูตส่งมารับ มุ่งตรงไปที่โรงแรมที่เขาจัดไว้ให้ ส่วนเจ้านายนั้น ท่านทูตดึงเอาตัวไปพักที่สถานทูต

พอรถจอดที่หน้าโรงแรม พวกเราสี่คนซึ่งมี คุณไล่อัน สิริสิงห์ - พันศักดิ์ - วิชิต แล้วก็ผม ลงจากรถด้วยมาดของชายไทยผู้ตื่นเต้น

ทางเดินของโรงแรมมีพรมอย่างดีปูลาดพื้นทาง ภายใต้ซุ้มกันแดดกันฝนสีสันสวยงาม มีนายทหารแต่งตัวเติมยศ ประดับอินทรนูอันใหญ่ มีดิ้นทองห้อยระย้าอยู่สองข้างบ่า โก้เหมือนเครื่องแบบนายพล

ไอ้เครื่องแบบนี่แหละที่ทำเหตุ พอลงจากรถได้ พวกเราคนหนึ่งในสี่คนก็ปราดเข้าไปหานายทวารคนนั้น ยื่นมือไปจับมือนายทวารแล้วค้อมศรีษะกล่าวคำสวัสดีเป็นภาษาอังกฤษ ห้ามไม่ทัน

ถามไถ่ภายหลัง พวกเราคนนั้นบอกว่า นึกว่าเขาส่งนายพลมาต้อนรับ

ผมน่ะพอจะรู้ว่า นายทวารตามโรงแรมใหญ่ ๆ ที่เมืองนอกแต่งตัวโก้หรูแบบนี้ทั้งนั้น เคยเห็นในหนัง ไม่รู้ว่าพวกเราจะตื่นเต้นขนาดนั้น เลยไม่ทันฉุด แกไปเร็วเหลือเกิน

พวกเราคนนั้น ไม่ใช่พันศักดิ์ ไม่ใช่วิชิต และไม่ใช่ผม นายทวารคนนั้นเมื่อถูกให้เกียรติโดยไม่รู้ตัวก็เลยยืนเซ่อไม่รู้จะว่ายังไง รายนี้อาจเป็นรายแรกของเขาก็ได้ ตั้งแต่เป็นนายทวารมา

ยังมีอีกเรื่องอย่างนี้

พันศักดิ์กับผมพักห้องเดียวกัน พอเข้าห้อง อาบน้ำอาบท่าชำระล้างร่างเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตัวลงมาข้างล่าง เตรียมตัวไปพบเจ้านายที่สถานทูตไทย ทางสถานทูตจะเลี้ยงข้าวเย็นวันนั้น

กินข้าวกินปลากันเสร็จ จากสถานทูตก็กลับโรงแรมเอาประมาณสามทุ่ม ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้อง ไม่มีอะไรจะทำ ถึงจะมีก็คงทำไม่ถูก เปิดประตูห้องเข้าไป ตอนขาออกไปมันยังกลางวันอยู่ กลับมามันมืดแล้ว ผู้ดูแลห้องเขาคงเข้ามาจัดการเปิดไฟและทำที่นอนให้ โดยเลิกผ้าคลุมไว้ให้เพื่อสอดตัวเข้าไปนอนได้

สามทุ่มที่โรมก็เป็นตีสามของกรุงเทพ ฯ มันก็ต้องง่วง ตอนกินข้าวตาก็ชักจะหรี่อยู่แล้ว เพิ่งมาจากกรุงเทพ ฯ หมาด ๆ เวลาในกรุงเทพ ฯ มันก็ยังตามมากับตัว

ทีนี้ตอนจะนอนก้อต้องปิดไฟ มองหาสวิทช์ไฟทั่วห้องก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันเอาไปไว้ที่ไหน

ที่หัวนอนด้านที่พันศักดิ์นอน มีแผงสี่เหลี่ยมหนาขนาด ๒๓ นิ้ว กว้างประมาณ ๔ x ๖ นิ้ว วางอยู่อันหนึ่ง ที่แผงนั้นมีปุ่มอยู่สามปุ่ม สีต่าง ๆ กัน

ไอ้นี่ละวะดับไฟ ไม่ปุ่มใดก็ปุ่มหนึ่ง

กดฉับเข้าให้ปุ่มหนึ่ง .... ไม่ดับ กดอีกปุ่มหนึ่ง ... ไม่ดับอีก กดอีกปุ่มหนึ่ง สามปุ่มครบถ้วน ... แล้วไฟก็ยังไม่ดับ

ช่างมัน ... นอนมันทั้งไฟสว่างยังงี้ละวะ !

พอล้มตัวลงนอนซุกเข้าไปในผ้าห่มสักครู่เดียว ก็มีเสียงเคาะประตู - - ใครมากวนใจอีกล่ะ... ?

ลุกขึ้นถอดล๊อก ดึงประตูเปิดออก ที่หน้าประตูนั้นมีคนสามคนยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน

คนแรกเป็นบ๋อย คนที่สองเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่งตัวในชุดทัคซีโด้สีดำหางยาว อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง แต่งชุดกระโปรงสั้นสีดำ มีผ้าดอกไม้คาดที่เอวและบนหัวใส่หมวกเล็ก ๆ สีขาว

ทั้งสามคนยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ แล้วทั้งสามก็ถามว่า " ต้องการอะไร " พร้อม ๆ กัน

" ไม่ต้องการอะไรหรอก ผมอยากจะปิดไฟน่ะ " ผมว่า

คนแต่งชุดทัคซีโด้ก็ก้าวเข้ามาในห้อง เดินไปด้านหลังของหัวเตียง สะกิดอะไรก็ไม่รู้ ไฟในห้องก็ดับ แล้วเขาก็ออกจากห้องไป งับประตูให้ด้วย

ผมคลำดูที่เขาเอื้อมไปเมื่อกี้นี้ ก็พบปุ่มสวิทช์ไฟอยู่ที่นั่น - - หายโง่แล้ว ! เล่นเอามาซุกไว้ยังงั้น ใครจะไปเห็น

คืนนั้นนอนหลับสนิท มาตื่นเอาตอนเช้าพอดี ได้ยินเสียงร้องในห้องน้ำ ไม่รู้ไอ้เพื่อนผมมันตื่นไปเข้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไร

ผมลุกจากเตียงเผ่นไปที่ห้องน้ำ นึกว่ามันเป็นอะไรไป มันบอกว่า " เปล่า ไม่เป็นอะไรหรอก กูไขน้ำจากไอ้ก๊อกปุ่มสีแดงนี่ไว้ได้ครึ่งอ่าง เห็นควันมันฉุยดี โดดลงไปจะแช่ก็ต้องเด้งออกมานี่แหละ เกือบสุกไปทั้งตัว เด้งออกมาเสียทัน แล้วนี่กูจะอาบน้ำยังไงล่ะ "

แล้วมันก็ยืนมองน้ำในอ่างที่ยังส่งควันฉุยอยู่ นิ่งอยู่ ไม่รู้จะทำยังไง

เรื่องยังงี้ยังมีอีกแยะ แล้วผมจะค่อย ๆ เอามาเล่าให้คุณฟัง

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 2

เรื่อง ยิงกล้อง


คำว่า ' ยิงกล้อง ' นี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่นักสร้างและคนถ่ายภาพยนตร์ว่าหมายความว่ากระไร มันจะมาหลังจากคำว่า " แอ็คชั่น " คือให้ตัวแสดงเริ่มออกแสดงบทบาทได้แล้ว จึงจะมีคำสั่ง " ยิงกล้อง "
ตากล้องก็จะเริ่มเดินกล้อง

ผมคุ้นกับเรื่องภาพยนตร์นี้มานาน ตั้งแต่สมัยยังรับราชการอยู่ ผมแสดงหนังมาแล้วสามเรื่อง ทั้งสามเรื่องเป็นพระเอก เป็นหนังของทางราชการ และผมก็เป็นข้าราชการอยู่ในกรมตำรวจ (ชื่อสมัยนั้น) เรื่องค่าตัวไม่ต้องพูดถึงกันเพราะมันเป็นการรับราชการอย่างหนึ่ง เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งให้เล่นหนังก็ต้องเล่น ให้เล่นเป็นตัวอะไรก็ต้องเป็น เรื่องเล่นแล้วจะได้สตางค์เท่าไร ไม่ต้องพูดถึงกัน แสดงจบแล้วก็แล้วไป เพราะตัวผู้กำกับการแสดงก็ดี ผู้อำนวยการสร้างก็ดี หรือแม้แต่ตากล้องก็ดี ไม่มีใครพูดถึงเรื่องสตางค์ที่ผมจะได้รับ แถมบางวันตอนหยุดพักการถ่ายทำ ผมยังต้องเลี้ยงเหล้าเลี้ยงข้าวคนในกองถ่ายเสียอีก

เรียกว่าเป็นรายการกุศล ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้บำเพ็ญกุศลคือผม

สมัยนั้นจะทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมแสดงก่อนที่จะรู้ว่าได้ค่าตัวเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะผู้สั่งการให้ผมแสดงชื่อ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น ถ้าจะพูดเรื่องสตางค์ก็ต้องพูดกับท่านผู้นี้ แล้วตัวผมนั้นพูดเรื่องเงินเรื่องทองกับท่านผู้นี้ได้เสียเมื่อไหร่ ผมก็จำใจเล่นเป็นการกุศลให้ หวังน้ำบ่อหน้า

กรมตำรวจสร้างภาพยนตร์ทั้งหมดกี่เรื่องผมไม่ทราบ แต่ผมเป็นพระเอกเสียสามเรื่อง คือเรื่อง "ศาสนารักนางโจร " " เหยื่ออาชญากรรม " และ " นักสืบพราน "

เรื่องหลังนี้เป็นเรื่องที่ผมเขียนขึ้นเองหลายตอน หยิบเอาตอนหนึ่งมาสร้างหนัง ชื่อเรื่องตอน " จำเลยไม่พูด " ค่าเรื่องผมก็ไม่ได้ ค่าตัวก็ไม่ได้ ค่าอะไรต่ออะไรก็ไม่ได้ เรียกว่าไม่มีรายได้อะไรทั้งหมดกับเรื่องนี้ แถมยังมีรายจ่ายอย่างที่ว่ามาข้างต้นเสียอีก

ยังไงก็ตามก็ยังเรียกได้ว่า ผมเคยเป็นดาราแสดงนำในภาพยนตร์ใหญ่ ๆ มาแล้วถึงสามเรื่อง ตอนนั้น มิตร ชัยบัญชา ยังไม่เกิดในวงการหนัง มีที่ดัง ๆ อยู่ก็ ส. อาสนจินดา ทัต เอกทัต สองคนนี่เคยประชันบทกับผมมาแล้ว เฉือนผมไม่ลง อย่าหาว่าคุย นางเอกแต่ละเรื่องไม่ซ้ำตัว รองนางสาวไทยก็มี ดาราศิลปากรก็มี ที่ดัง ๆ ในวงการภาพยนตร์ตอนนี้ก็มี แต่ดูเหมือนจะเล่นบทแม่กันไปหมดแล้วตอนนี้ จะมีบทย่าบทยายหรือเปล่าก็ไม่ได้ไต่ถาม

สมัยไหนก็ตาม ลงแสดงหนังด้วยกัน พระเอกกับนางเอกมักจะไม่ค่อยแคล้ว มักจะไปแสดงนอกจอเป็นพระเอกนางเอกกันและกันต่อนอกเรื่อง แต่ผมไม่ ผมเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ยุ่งกับนางเอกไปทุกคนหรอกครับ

คราวหนึ่ง กำลังถ่ายทำเรื่อง " เหยื่ออาชญากรรม " กันอยู่ ตากล้องเรื่องนี้ยืมเอามาจากกองทัพอากาศ เป็นตากล้องมือดีของกองภาพยนตร์กองทัพอากาศ ชื่อสุจินต์ นามสกุลอะไรผมจำไม่ได้เสียแล้ว เรื่องนี้ความจริงผมไม่น่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเขาด้วย เพราะเป็นเรื่องของทางกองวิทยาการกรมตำรวจเป็นเจ้าของเรื่อง ผู้กำกับเยื้อน ซึ่งเป็นหัวหน้ากองวิทยาการอยู่นี่ซิที่ขอให้ผมแสดงเป็นตัวพระเอก ผู้กำกับเยื้อนนั้นเป็นนายเก่าผม ท่านขอแรงมาก็ต้องยอม ขัดคำสั่งไม่ได้ ไม่รู้ใครไปยุท่าน หรือไม่ยังงั้นทั้งกรมตำรวจก็คงจะมีผมหล่ออยู่คนเดียว บทนี้จึงต้องมาตกอยู่กับผมแทบทุกที

คืนวันนั้นเป็นคืนที่จะถ่ายตอนผู้ร้ายกับตำรวจยิงต่อสู้กัน ตำรวจก็ใช้ตำรวจจริง ๆ สี่ห้านาย แต่งเครื่องแบบมีปืนเล็กยาวประจำตัว ทุกคนใช้กระสุนปลอม แกะหัวจริงออก ใช้กระดาษจุกหัวเอาไว้ เรียกว่ ลูกหัวกระดาษ ส่วนตัวผู้ร้ายนั้นคือ พ่อประชา พูนวิวัฒน์
ตามบทผู้ร้ายต้องวิ่งไปพลางหันมายิงสู้กับตำรวจไปพลาง ส่วนตำรวจนั้นหมอบอยู่ในคันคูเป็นแถวหน้ากระดาน แล้วจะยิงต่อเมื่อผู้กำกับการแสดงสั่ง สมมุติว่ายิงไปยังผู้ร้ายที่กำลังหนีพลางสู้พลาง

พ่อประชาน่ะเขาคล่องอยู่แล้ว แสดงบทเป็นผู้ร้ายมาแล้วหลายเรื่องเหมือนกัน เมื่อถ่ายทางด้านผู้ร้ายเสร็จแล้วก็มาถึงแถวตำรวจที่นอนหมอบประทับปืนอยู่ในคู บรรจุกระสุนปลอมในลำกล้องเรียบร้อยแล้วทุกคน

ครูเนรมิต ผู้กำกับการแสดงก็ตรวจดูแถวตำรวจเรียบร้อยแล้วสั่งกล้องจับภาพ และแนะนำตำรวจว่า
" เวลาผมบอก แอ๊คชั่น ก็ให้เริ่มยิงได้เลย เข้าใจนะครับ "
ตำรวจพยักหน้าทุกคน เข้าใจ

" แอ็คชั่น " ครูเนรมิตออกคำสั่ง

ตำรวจทั้งแถวก็ลั่นไก ชักลูกเลื่อนสลดปลอกกระสุนออกแล้วยิงนัดใหม่ ไม่ยากเย็นอะไร

ครูเนรมิตก็หันไปสั่งกล้อง " ยิงกล้อง "

พ่อสุจินต์กำลังขยับเดินกล้อง ตำรวจทั้งแถวก็หันปากกระบอกปืนพร้อมกันทุกคนมาทางกล้อง แล้วก็ลั่นไกกันเปรี้ยงปร้าง พ่อสุจินต์ทิ้งกล้องเผ่นออกแทบไม่ทัน ร้องลั่นเสียงหลง

" หยุด หยุด " ครูเนรมิตร้องออกมาลั่นเหมือนกัน เสียงปืนจึงได้หยุด

พ่อสุจินต์นั่นน่ะเผ่นไปห่างกล้องหลายวาแล้ว ออกไปคลำข้างแก้มป้อย ๆ อยู่ คงโดนเข้ามั่งแถว ๆ นั้น

" ที่ผมสั่งยิงกล้องน่ะ ผมให้คนถ่ายเขาเดินกล้อง " ครูเนรมิตอธิบายกับตำรวจ " พวกคุณก็ยิงไปตรงหน้าอย่างเก่าซิ "

" อ้าว ! ก็ไม่รู้ " ผู้หมู่ที่คุมตำรวจมา พูดอ่อย ๆ " บอกยิงกล้อง ผมก็ยิงไปที่กล้อง นึกว่าให้ยิงไปที่นั่น "

นี่แหละ... จะเอาอะไรกับตำรวจนักหนา ไม่บอกกันเสียทีแรกให้เข้าใจ

ดีแต่ว่าเป็นกระสุนหลอก ไม่งั้นก็... เละ !

ตลกสังคม เรื่อง ที่ 1

หนังสือชื่อ ' ตลกสังคม ' เล่มนี้ รวมเรื่องสั้นไว้หลายเรื่อง คุณพ่อได้เขียนให้สำนักพิมพ์ ต่วยตูน นำออกวางตลาดเมื่อปี พ.ศ. 2525 และมีอารมณ์ขันน่าอ่าน จึงขอนำเสนอให้อ่านกันเล่นบางเรื่อง
หากมีผู้สนใจอ่านมากขึ้น จะนำมาให้อ่านอีกหลาย ๆ ตอน)

เรื่องที่ 1 - บันทึกจากถังขยะ

เมื่อเช้านี้เด็กที่บ้านผมวิ่งเลิ่กลั่กมาหาผม ส่งสมุดเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งมาให้ แล้วว่า
" คุณครับ ผมพบสมุดเล่มนี้ในถังขยะเมื่อกี้นี้ตอนค้นหาของในถัง ผมอ่านไม่ออกเลยเอามาให้คุณ "
ผมรับสมุดมาจากเขา เป็นสมุดพกขนาดเล็ก ๆ ปกสี่น้ำเงินกะทัดรัด เปิดออกดูผมก็เห็นมีข้อความเขียนด้วยลายมือขยุกขยิก แต่พออ่านออก ข้อความที่บันทึกไว้ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น แสดงว่าเจ้าของบีนทึกคงไม่ใช่บุคคลชั้นที่ได้รับการศึกษาอย่างดี แต่พอจะได้เนื้อถ้อยกระทงความ ถึงจะขาด ๆ หาย ๆ อ่านแล้วก็พอสนุก ผมจะถอดข้อความออกมาให้อ่านเล่นกัน ตบแต่งด้วยสะกดการันต์และข้อความเสียใหม่ให้อ่านรู้เรื่อง ดังนี้

" ชีวิตโว้ย ชีวิตกู ซ่าไปมันก็ไม่ดีโว้ย " หน้าแรกเขาเขียนไว้อย่างนี้ วันที่ก็ไม่ได้ลงไว้

พลิกหน้าต่อ ๆ ไป เรียงตามลำดับแต่ละหน้า พอที่จะแกะออกมาได้ว่า

" เงินจาง นางก็จร จำมาจากหลังรถบรรทุก มันเข้าทีดีเหมือนกัน เพราะมันเหมือนกู " หน้าที่สองมีแค่นี้ วันที่ก็ไม่มีอีกเหมือนกัน

" มันทำกูได้ กูก็จะทำกับมันบ้าง ระวังตัวให้ดีนะมึง อีดอก " คำสุดท้ายนี้คงหมายถึงผู้หญิงคนหนึ่ง

" บ้านก็ไม่มีจะอยู่ แล้วกูจะนอนที่ไหนวันนี้ นึกออกแล้ว ไปบ้านไอ้ย้งดีกว่า " ไอ้ย้งนี่ก็คงจะเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง

" ไอ้ย้งเพื่อนยาก มันยังดีกับกู ให้กูซุกหัวนอน แต่มันให้อยู่ได้สองสามวันเท่านั้น ก็จะต้องขยับขยายต่อไปอีก มันว่ามันก็จน กินแค่สองปากกับเมียมันมากกว่า เมียมันสวยดี แต่ยังไงก็สวยสู้อีดอกของกูไม่ได้ " หน้านี้ยาวหน่อย

" พรุ่งนี้แล้วซีโว้ยจะต้องจรไปอีก ไอ้ย้งมันเตือนแต่เช้า " หน้านี้สั้นแค่นี้ ไม่มีวันที่อีกเหมือนกัน

" ขอยืมเงินไอ้ย้ง มันบอกว่าไม่มี ให้แดกให้นอนสามวันก็ดีแล้ว ยังจะเอาเงินอีก เพื่อนหนอเพื่อน เวลากูจนตรอก อะไรมันก็ทับถมมาที่กู แล้วกูจะไปซุกหัวที่ไหน ฉุดเมียมันเสียเลยดีไหม " ชักจะดุดัน ตอนท้ายหักมุมเอาเฉย ๆ

" ศาลาวัดนี่ก็ดี พอนอนได้ แต่ยุงชุมฉิบหาย ตบกับมันจนหลับไปได้ " ไอ้ที่ตบคงจะเป็นยุง

" เรามันไม่ดีเอง ตอนมีเงินก็ทำซ่า ใช้มันจนหมด แล้วตอนหมดนี่ ไม่เห็นมีไอ้หน้าไหนมันช่วยกู "

" ดักจี้คนดีกว่าว่ะ " หน้านี้สั้น แต่ได้ใจความ

" ใจแข็งไม่พอ เมื่อคืนจะได้เรื่องอยู่แล้ว ดันใจอ่อนคืนมันไปเสียนี่ ผู้หญิงนี่ชนะกูเสียเรื่อย วันนี้ท้องร้องทั้งวัน แดกแต่น้ำ เมื่อคืนไม่น่าคืนมันไปหมด กูมันเซ่อเอง " เป็นสุภาพบุรุษอยู่เหมือนกัน คงเสียดายอยู่

" เออ เมื่อคืนเจอเด็กเข้าอีก มันมีเพียงสิบบาท บอกว่าพ่อให้ออกมาซื้อเหล้า ถ้าไม่ได้เหล้าเข้าไปก็จะโดนพ่อเตะไม่เลี้ยง ก็ต้องคืนมันไปอีก กูหนอกู " คนอย่างนี้ก็มี

" เจ็บใจอีดอกนัก กูเห็นจะต้องฆ่ามันเสียแล้ว หนอย อยู่ด้วยกันมาตั้งสิบ ๆ ปี กูไม่ใช่เหรอที่คอยดูแลมึง ไม่ให้ใครมารังแก พอเงินกูหมด ขอมันก็ไม่ให้ แถมยังไล่กูให้ไปให้พ้น ๆ ที่แท้มันจะมีผัวใหม่ ดีละมึง " หันไปรำพึงถึงความหลัง คงจะเป็นคนคุมผู้หญิงอะไรซักประเภทหนึ่ง แมงดาเสียก็ไม่รู้

" ฆ่ามันไม่ลงโว้ย ไอ้ผัวใหม่มันคุมแจ ไปถึงที่ีทำงานมันก็ยังไปคุม แล้วตัวมันก็โตกว่ากู " นึกว่าจะใจอ่อนฆ่าเมียไม่ลงเพราะสงสาร คงหาโอกาสอยู่เหมือนกัน แต่กลัวผัวใหม่เอาจริง ๆ ก็น่าหรอก

" ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าว่ะ แผ่นดินไม่สิ้นหนทาง " คำทิ้งท้ายอันนี้คงจะคิดขึ้นเอง แปลกดี

บันทึกจบเพียงแค่นี้

หน้าต่อ ๆ ไปว่างเปล่าเอาเฉย ๆ แล้วสมุดเล่มนี้ก็มานอนอยู่ในถังขยะ เจ้าของคงไม่อยากเอาติดตัวไป เรียกว่าทิ้งความหลังไปเลย ผมก็ได้วัตถุดิบมาเขียนให่อ่านกันเล่น ไม่ยังงั้นคงนั่งคิดหาเรื่องจะมาเขียนไม่ออก

เจ้าของบันทึกอยู่ที่ไหน ผมขอขอบคุณครับ !