จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จับปูดำ ขยำปูนา บทที่ 1 ตอนที่ 1



เสียงนั้นดังหวิว ๆ มาแต่ไกล แล้วก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาจนผมได้ยินถนัด มันเป่าอยู่ที่รูหูผมนี่เอง ดังออกมาเป็นเสียงว่า “ พี่ พี่ ” เบา ๆ

แล้วผมก็รู้สึกว่ามีมือมาเขย่าที่ท่อนแขนส่วนบนของผมแรง ๆ

ผมรู้สึกตัวตื่น

ไอ้แสงบ้านั่นมันแยงนัยน์ตาผมเสียจนต้องรีบหลับตาลงใหม่ ผมยังบอกตัวเองไม่ถูกว่ามันเป็นแสงอะไร ภวังค์ของผมเพิ่งจะถูกปลุกขึ้นมาใหม่ ๆ ยังตั้งสติไม่ได้ เสียงประตูมุ้งถูกแหวกออก แล้วก็มีเสียงของคนที่เรียกและเขย่าตัวผมอยู่นั้นร้อง "ว้าย" ออกมาดัง ๆ คำเดียวแล้วก็เงียบ

ผมพลิกตัวแพล็บเดียวทั้ง ๆ ที่นัยน์ตายังไม่ทันลืมขึ้นมาใหม่ เท้าของผมข้างหนึ่งยันออกไปด้วยสัญชาตญาณไปทางด้านที่ผมเห็นไอ้แสงบ้านั่นมาแยงนัยน์ตาเมื่อกี้นี้ เท้าข้างนั้นปะทะเข้ากับร่างใครคนหนึ่งถนัดถนี่ พร้อมทั้งไอ้ลำแสงที่แยงนัยน์ตาผมหลุดกลิ้งลงบนที่นอน ผมจึงมองเห็นว่ามันเป็นร่างของใครคนหนึ่งแอ่นหงายกลับออกไป

ผมเผ่นพรวดเดียวลุกขึ้นยืน พอดีกับร่างของหมอนั่นเซไปโดนชายมุ้ง มุ้งทั้งหลังขาดหลุดลงมา ผมอยู่ในท่าที่ได้เปรียบกว่า ผมตวัดมุ้งที่หล่นลงมาครอบนั้นพรวด ๆ จนพ้นหัวออกมาได้ ไอ้เสือนั่นยังวุ่นวายอยู่ในมุ้งที่คลุมร่างของมัน พยายามที่จะแหวกออกมา

ผมมองเห็นว่าส่วนไหนเป็นหัว ส่วนไหนเป็นลำตัวภายในมุ้งนั้น ผมวาดเท้าไปเต็มเหนี่ยวตรงที่เห็นว่าเป็นศีรษะ มีเสียงร้องดังอุ้บมาจากข้างในนั้น ไอ้ร่างนั้นก็หมุนม้วนกลับหันสีข้างมาทางผม ผมเหวี่ยงเท้าไปที่สีข้างอีกที แล้วที่ลำตัวอีกที พร้อมทั้งกระทืบซ้ำลงไปที่ร่างที่งอก่ออยู่ในมุ้ง มันยังดิ้นจะหาทางออกอยู่ภายในนั้น

อะไรสิ่งหนึ่งกลิ้งหลุน ๆ ออกมาจากความยุ่งเหยิงของมุ้ง มันเป็นกระบอกไฟฉายขนาดห้าท่อน ไอ้นี่เองที่เป็นต้นแสงที่แยงนัยน์ตาของผมเมื่อกี้นี้ ผมก้าวไปคว้ามันมาไว้ในมือ ไอ้ร่างนั้นยังดิ้นขลุกขลักควานหาทางออกอยู่

ผมประเคนกระบอกไฟฉายห้าท่อนอันนั้นลงไปบนส่วนที่เป็นหัวของมัน เสียงดัง “ โพละ ” ไอ้ร่างนั้นหลุดดิ้น มันครางครอก ๆ สอง – สามทีแล้วก็เงียบไม่ไหวติง

ผมยืนหอบอยู่ครู่หนึ่ง มองไปรอบ ๆ ห้อง แสงสลัว ๆ ของอากาศภายนอกลอดเข้ามาพอมองเห็นอะไร ๆ ข้างในห้องได้ราง ๆ ผู้หญิงคนที่ส่งเสียงเรียกผม และเป็นเจ้าของเสียง ‘ว้าย’ เสียงนั้น ยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง หล่อนไม่นุ่งผ้า ได้แต่ใช้มือทั้งสองข้างปิดอวัยวะอันพึงสงวนของหล่อนทั้งข้างบนข้างล่างอยู่ นัยน์ตามองผมอย่างหวั่น ๆ

ผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเองว่า – ขอโทษ – ผมก็อยู่ในสภาพเดียวกับหล่อน

ผมเลิกมุ้งขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะร่างไอ้หมอนั่นซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครมันงอก่อทับอยู่ ผมควานเอากางเกงในของผมออกมานุ่งก่อน แล้วขึงปลดเอากางเกงของผมที่ผมจำได้ว่า ผมแขวนมันไว้ที่ฝาห้องมานุ่ง ผมเลิกมุ้งออกจนหมด เหวี่ยงออกไปพ้นที่นอน ร่างของไอ้เสือนั่นยังไม่ฟื้น นอนงอคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น
ผมฉายไฟดูหน้ามัน – ผมไม่รู้จัก – ไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ ผมจับชีพจรมัน ยังเต้นอยู่แผ่ว ๆ มันยังไม่ตาย ผมแหงนหน้าไปทางผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าแอบหยิบผ้าถุงของหล่อนมานุ่งเมื่อไร พยักหน้าให้หล่อนเข้ามาหา ชี้ไปที่ร่างของไอ้หมอนั่นแล้วถามหล่อนว่า
“ ผัวเรอะ ? ”
แม่คนนั้นสั่นหน้าทันที ทั้ง ๆ ที่ยังย่างเข้ามาไม่ถึงที่ผมยืนฉายไฟไปที่ใบหน้าไอ้ร่างนั้น
“ ไม่ใช่ ” หล่อนพูดเสียงสั่น ๆ “ หนูไม่เคยมีผัว ”
“ แฮะแอ้ ” ผมร้องแล้วจุ๊ปาก “ เดี๋ยวโดนตบ ”
ผมเงื้อมือ แม่นั่นถอยออกไปห่าง พร้อมกับสั่นหน้าเร่า ๆ
“ ใครก็ไม่รู้ ” เสียงของหล่อนยังมาหายสั่น “ หนูไม่เคยมีผัวจริง ๆ ไม่รู้จักจริง ๆ ”
ผมมองดูร่างนั้นที มองดูหล่อนที แล้วพูดว่า
“ ถ้างั้น มันเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ยังไง ”
“ ไม่รู้ซีพี่ ” แม่นั่นรีบตอบ “ หนูได้ยินเสียงก๊อกแก๊กอยู่นานแล้ว หนูจึงเรียกพี่ ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวตั้งหลายที กว่าพี่จะตื่นมันก็เปิดมุ้งเข้ามาพอดี หนูยังถูกมันตบเอาทีหนึ่งตอนหนูร้อง ”

ผมก้าวไปเลิกหมอน หยิบเอาปืนของผมที่สอดไว้ตั้งแต่ตอนเข้านอนมาเหน็บที่เอว คว้าเสื้อมาสวม ผมยัดชายเสื้อเข้าขอบกางเกงเสร็จเรียนร้อย ไอ้นั่นก็ค่อย ๆ พลิกตัว

ผมให้แม่คนนั้นเปิดไฟในห้อง

ไอ้เสือนั่นนอนนิ่งลืมตามองดูผม เพราะปากกระบอกปืนของผมจ้องนิ่งตรงนัยน์ตามันพอดี

“ อย่าขยับ ” ผมเน้นเสียงออกมา “ นอนนิ่ง ๆ อย่างนั้น แล้วบอกอั๊วมาว่าลื้อเป็นใคร เข้ามาทำไม และต้องการอะไร ”

มันไม่พูด จ้องรูลำกล้องปืนนิ่ง แล้วก็เปลี่ยนสายตามามองผม

หน้าตามันเหมือนนักโทษเพิ่งหลุดออกมาจากตะราง คางเหลี่ยม นัยน์ตาโปน ผมหยิก และอายุในราวสามสิบเศษ ๆ ทั้งเสื้อทั้งกางเกงของมันดำสนิทกลืนกับความมืดดีนัก

ผมง้างนกปืนลูกโม่ของผมดังกริ๊ก

“ ลื้อไม่อยากพูดกับอั๊ว จะไปพูดกับยมบาลหรือยังไง อั๊วถามว่าลื้อเป็นใคร เข้ามาทำไม และต้องการอะไร ”
มันนิ่ง สายตาของมันไม่บอกว่ามันกลัว

“ พาผมไปโรงพักดีกว่า ” มันพูดออกมา หลังจากที่นิ่งจ้องมองผมอยู่นาน

“ อยากเข้าตะราง ว่างั้นเถอะ ” ผมพูดปนเสียงหัวเราะ
มันยิ้มนิด ๆ อย่างคนไม่กลัวความตาย แล้วพูดอีกว่า
“ พาผมไปโรงพักดีกว่า ”

“ ตามใจ ไอ้เพื่อนยาก ” ผมว่า “ งั้นลุกขึ้น แต่ว่าช้า ๆ นะ อย่าให้อั๊วตกใจ ”

มันค่อย ๆ ยันร่างขึ้นในท่านั่ง แล้วใช่มือทั้งสองข้างยันพื้นที่นอนเพื่อที่จะดันตัวขึ้นมาในท่ายืน หัวของมันก้มลงมองดิน ผมมองดูที่มือของมัน มันกดมือลงแน่นในจังหวะที่จะสปริงตัวขึ้น

ผมเหวี่ยงเท้าข้างขวาผึงออกไปได้จังหวะที่ใบหน้าของมันที่แหงะขึ้นมาจากท่าเตรียมสปริงตัว

เสียงดังพล๊อกหนักแน่น แล้วทั้งมือทั้งตีนของมันก็ลอยผงะไปกลางอากาศ กลับลงนอนแผ่อยู่บนที่นอนอีก แต่ว่าคราวนี้เหยียดแผ่ทั้งมือทั้งตีน หลับตาพริ้ม

ผมลงมือค้นตามตัวของมัน ทั่งกระเป๋าเสื้อและกางเกง ไม่พบอะไรอื่นอีก ไม่มีแม้แต่อาวุธและอะไรทั้งสิ้น มันไม่ได้พกอะไรเลย

แม่คนนั้นถอยออกไปยืนตัวสั่นอยู่ที่กลางห้องอีก

ในกระเป๋ากางเกงของผมมีกุญแจมือขนาดเล็กชนิดใช้ใส่แค่เพียงหัวแม่มือ ผมล้วงมันออกมาแล้วขัดการใส่มันเข้ากับหัวแม่มือทั้งสองข้างของไอ้หมอนั่น มันยังไม่ฟื้น

ผมหันไปทางแม่คนนั้นซึ่งผมก็จำชื่อหล่อนไม่ได้ว่ามันจะเป็น ‘ เพ็ญ ’ หรือ ‘ พร ’ หรือ ‘พวง ’ ก็ไม่รู้ เพราะที่หล่อนบอกผมไว้เมื่อคืนนี้ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะจำ ผมพูดกับหล่อนว่า
“ ฉันจะพาไอ้เสือนี่ไปโรงพัก ฉันเป็นหนี้น้องสาวอยู่เท่าไหร่ คิดมาเสีย ”

หล่อนสั่นหน้าอยู่ตรงที่เดิม “ ไม่ต้องหรอกพี่ ” เสียงก็ยังสั่นอยู่อีก “ พี่ไปเสีย เผื่อพวกมันมาอีก หนูจะทำยังไงล่ะ ”

ผมยืนเกาหัว ไม่รู้ว่าจะยังไงเหมือนกัน แล้วผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนหล่อนไม่ได้
“ ไม่หรอกน่ะ ” ผมพูดส่ง ๆ ออกไป “ มันมาเล่นงานฉันมากกว่าเธอ ถ้าฉันยังอยู่ซีมันอาจจะมาอีก ฉันไปเสียมันก็ไม่มา คิดมาเถอะเท่าไหร่ ”

หล่อนมองดูผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า
“ แล้วแต่พี่เถอะ หนูไม่เคยเรียกราคากับใคร ”

หล่อนจะพูดจริง หรือจะเข้าใจพูดก็ไม่รู้ แต่ว่าอาจจะจริง เพราะผมหิ้วหล่อนมาจากไนท์คลับชั้นดีแห่งหนึ่งเมื่อคืนนี้ ผมล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋าสองร้อยบาทส่งให้หล่อน

หล่อนมองดูเงิน มองดูผม แล้วค่อย ๆ เดินมาหา รับเงินในมือผมไป พร้อมกับยกมือไหว้ ไม่พูดอะไร

ผมคว้ามือไอ้เสือนั่นข้างหนึ่ง แล้วลากมันออกมาจากห้องนั้น มันยังไม่ฟื้น

ผมรู้จักว่าที่ตรงนั้นขึ้นกับโรงพักท้องที่ไหน ผมยัดร่างไอ้หมอนั่นซึ่งยังไม่ตื่นเข้าไปบนรถจี๊ปของผม บึ่งมาพักเดียวก็ถึงโรงพัก ตอนนั้นรุ่งสางพอดี ผมดูนาฬิกามันบอกเวลาหกโมงกว่า ๆ มันฟื้นลืมตา เมื่อผมดึงมันลงมาจากรถอีกที ผมจึงไม่ต้องลากมันอีก คราวนี้มันเดินลากขาตามผมไป

สารวัตรท้องที่เป็นนายตำรวจรุ่นพี่ เขานั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานภายในเครื่องแบบพันตำรวจตรี ผมจูงไอ้เสือนั่นเข้าไปหาเขา เขาเงยหน้ามองผล แล้วยิ้มให้เหมือนกับว่าเขาคอยพบผมอยู่แล้วยังงั้น ไม่ได้แสดงกิริยาแปลกอกแปลกใจอะไรเลย เมื่อผมผลักไอ้นั่นไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วยกมือไหว้เขา

“ สวัสดี คุณยอดทวน ” เขาเอ่ยขึ้นมาก่อนผมเสียอีก “ เอาอะไรติดมือมาด้วยนั่น ” เขาพยักหน้าไปทางไอ้นั่น
“ สวัสดี พี่ ” ผมว่า พลางลากเก้าอี้มาตรงหน้าเขา “ ของฝาก ผมเอามาให้พี่ยุ่งกับมันเล่น ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร มันเข้าไปเล่นงานผมหรืออะไรก็ยังไม่รู้ แต่มืด ”

เขาปรายตาไปที่ไอ้นั่นอีกแวบหนึ่ง แล้วกดกริ่งบนโต๊ะ
“ เอาไปขัง ” เขาออกคำสั่ง แล้วชี้ไปที่ไอ้นั่น

ผมโยนกุญแจนิ้วให้นายสิบเวร เขารับมันไปไขนิ้วไอ้นั่นแล้วกลับส่งมาให้ผมทั้งลูกทั้งตัวกุญแจ แล้วก็จับศอกไอ้นั่น ดึงเอาตัวออกไป

“ ผมอยากจะรู้ว่ามันเป็นใคร และเข้าไปหาผมในห้องนอนทำไม ” ผมพูด “ พี่ช่วยสอบให้ผมรู้ด้วย ”
เขาหัวเราะ ไม่พูดไม่ถามอะไร กลับหันไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้าง ๆ ตัว ดึงเอาซองหนังสือราชการอันหนึ่งขึ้นมาแล้วส่งให้ผม

ผมรับซองนั้นมาอย่างงง ๆ ที่หน้าซองมีชื่อของผมเป็นผู้รับ และที่เหนือชื่อของผมที่มุมซองมีข้อความ ‘ลับเฉพาะ’ ผมมองดูเขาอย่างจะตั้งคำถาม เขาพูดว่า

“ ผมได้รับคำสั่งให้ส่งซองนี้ให้คุณ ถ้าคุณมาวันนี้ ”

ผมมองดูซองในมือแล้วมองดูเขา บนใบหน้าของเขามีแต่ความว่างเปล่า อันที่จริงใบหน้าของตำรวจแทบจะทุกคนก็ต้องเป็นยังงั้น ถ้าเขาไม่อยากจะพูด

ผมฉีกซองออก อ่านข้อความในหนังสือที่อยู่ในซองนั้น มันมีข้อความว่า

ถึงร้อยตำรวจโท ยอดทวน ธงไทย
ให้ท่านไปรายงานตัวต่อข้าพเจ้า ณ ที่ห้องพิเศษ เลขที่ ๕๐๔ โรงแรมเอราวัณ ในวันที่ได้รับหนังสือนี้
เวลา ๐๘.๐๐ น.
ลงนาม พันเอก เยี่ยม วีรพล
ผบ. หน่วย ๔๐๔ กรป.

ข้อความในนั้นมีเท่านี้ ไม่มีวันที่ ไม่มีเลขหนังสือ

ผมอ่านข้อความนั้นอีกทีให้มันแน่ใจ มันก็ยังอ่านได้ความยังงั้นอยู่ ผมแหงนหน้าขึ้นมองสารวัตรรุ่นพี่คนนั้น แล้วว่า
“ อธิบายให้ผมเข้าใจให้แจ่มแจ้งกว่านี้สักหน่อยได้ไหมครับ ไอ้หนังสือนี้มันมาบังไงไปยังไงกัน ถึงผมแน่หรือ ”

เขายิ้ม “ ชื่อของคุณใช่ ร้อยตำรวจโท ยอดทวน ไหมล่ะ ”

ผมพลิกซองดูชื่อที่หน้าซองอีกที แล้วเกาหัว
“ พี่ก็รู้จักผมดีอยู่ ไม่น่าถาม ผมอยากรู้ว่ามันไปยังไงมายังไงกัน แล้วถ้าเผื่อผมไม่มาที่นี่ เพราะเกิดเรื่องกับไอ้เสือนั่นวันนี้ หนังสือนี้จะถึงมือผมได้ยังไง ”

เขายักไหล่ “ ผมได้รับคำสั่งมาแต่เพียงเท่านี้จากเบื้องบน ว่าถ้าคุณมาที่นี่วันนี้ก็ให้ผมส่งซองนี้ให้คุณ ไม่มีรายละเอียดอย่างอื่นอีก ไม่ได้บอกว่าถ้าคุณไม่มาจะให้ผมทำอย่างไรกับหนังสือฉบับนี้ ”
“ ก้อ ถ้าเผื่อผมไม่มา ผมมาเพราะมันมีเรื่องต่างหาก ”

“ ข้างบนคงจะรู้มั้งว่าคุณต้องมา ”

“ พี่ไม่ได้เล่นตลกอะไรกับผมนา ” ผมมองดูเขาอย่างระแวง

“ นั่นมันซองลับเฉพาะ ” เขาชี้มาที่ซองในมือผม “ ซองอย่างนี้เล่นตลกกันได้หรือ ”

นั่นน่ะซี – ผมนึกในใจ อีกอย่างหนึ่งเขาก็ไม่น่าจะรู้ว่า ผมจะมีอันต้องมาที่นี่

“ แล้วไอ้เสือนั่นล่ะ ” ผมพูด “ เมื่อไรพี่จะสอบให้ผม ผมอยากรู้ว่ามันเป็นใคร และมันเข้าไปทำร้ายผมด้วยเรื่องอะไร หรือว่าผิดตัว ข้อสำคัญ ผมอยากรู้ว่ามันเป็นใคร ”

“ คุณมีเวลาพอที่จะอยู่ฟังผมสอบเขาไหมล่ะ ”

ผมดูนาฬิกา มันใกล้เจ็ดโมงมากแล้วผมยังไม่ได้อาบน้ำและพร้อมที่จะไปรายงานตัว ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วว่า

“ ผมจะมาหาพี่ใหม่ตอนหลังแปดโมงดีไหม ผมต้องรีบไปตามหนังสือนี้ ” ผมยกซองลับเฉพาะนั้นขึ้นโบก

“ ตามใจคุณ ” เขาพูดยิ้ม ๆ

ผมลาเขาออกมา ตอนที่ผมขึ้นนั่งบนรถของผม ผมก็ยังงงอยู่ดีว่าไอ้หนังสือลับเฉพาะฉบับนี้มันยังไงกันแน่

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 15

เรื่อง ตลกร้าย

อาทิตย์นี้ ต้องขออู้เอาเรื่องเบา ๆ สมองของฝรั่งมาขาย ให้คุณ ๆ ได้อ่านกันสบาย ๆ ใจในวันสุดสัปดาห์ซักสองสามเรื่อง เป็นเรื่องค่อนข้างจะสัปดน “ สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส สัปดนวันละหน่อยอร่อยใจ ” ไม่รู้ใครว่าไว้อย่างนี้ ดูเหมือนจะเป็นคุณประยูร จรรยาวงษ์ เพื่อผู้น่ารักของผม

เรื่องที่หนึ่ง
ยังมีบุรุษนายหนึ่ง ชื่อไทย ๆ ว่า คุณหะริน ไม่ใช่ท่านนายพลเอกอากาศเอกท่านนั้น คุณหะรินเป็นคนที่ไม่เคยมองอะไรในแง่ที่ไม่ดี เรียกว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงแค่ไหน คุณหะรินได้รู้ได้ฟังแล้วก็จะปลงว่า “ ยังดี ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จะยิ่งร้ายใหญ่ ” ทุกเรื่องที่คุณหะรินได้รับรู้ จะต้องไม่เป็นเรื่องร้ายแรงทั้งนั้น จนเพื่อน ๆ ของคุณหะรินชักจะรำคาญในความมองโลกในแง่ดีเสียทุกเรื่องของคุณหะริน
วันหนึ่ง เพื่อน ๆ คิดจะแก้นิสัยอันนี้ของคุณหะรินให้ได้ ก็สร้างเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่งที่คิดว่า ถ้าคุณหะรินได้รับฟังจะต้องหดหู่ใจ
เย็นวันหนึ่ง ที่สโมสรที่คุณหะรินชอบไปหาความสำราญกับผองเพื่อนแห่งหนึ่ง เพื่อนของคุณหะรินก็เอ่ยกับคุณหะรินว่า
“ เฮ้ย ริน ลื้อรู้เรื่องไอ้น้อยไหมวะ เมื่อคืนนี้มันกลับบ้านหัวค่ำกว่าทุก ๆ คืน เปิดประตูห้องนอนเข้าไปพบเมียของมันกำลังกอดกันกลมอยู่กับไอ้หนุ่มหน้ามนคนหนึ่งอยู่บนเตียง มันก็ควักปืนออกมายิงทั้งไอ้หนุ่มคนนั้นและเมียของมันตายคาที่นอน แล้วมันก็หันปากกระบอกปืนยิงตัวมันเองตายตามไปด้วย ”
“ น่าสงสารและน่าสลดใจจริง ๆ ” คุณหะรินพูด ส่ายหน้าช้า ๆ “ แต่ว่ามันก็ยังไม่ร้ายแรงอะไรเท่าไรนัก มันอาจเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้ได้อีก ”
“ อะไรกันวะ ” เพื่อนชักโมโห “ ยังงี้ ลื้อยังว่ามันยังไม่ร้ายแรงอีกเรอะ ลื้อพูดยังไง มันอาจเกิดอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้อีกก็ได้ ไอ้บ้า ”
“ เฮ้ย ” หะรินครวญออกมาเบา ๆ “ ถ้าหากเป็นคืนก่อนเมื่อคืนนี้ อั๊วน่ะซีที่จะเสร็จ !! ”


อีกเรื่องหนึ่ง
อรัญญา (ไม่ใช่คุณอรัญญานางเอก) เป็นหญิงสาวสวยและสดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ตัวหล่อนเองที่คิดว่าอย่างนั้น และเธอเป็นผู้หญิงที่ป๊อปพิวล่าคนหนึ่งในสังคม นี่ก็เธอคิดว่ายังงั้นอีกนะแหละ ขอโทษ ป๊อปพิวล่า แปลเป็นไทย ๆ ว่า กว้างขวางเป็นที่รู้จักดีในวงสังคม วันหนึ่ง เธอพูดกับเพื่อน ๆ ในงานสังสรรค์งานหนึ่งว่า
“ นี่เธอนะ ถ้าหากฉันเกิดแต่งงานเข้าเมื่อใด ผู้ชายหลาย ๆ คนจะต้องทุกข์ระทมกันทีเดียวแหละ ”
“ งั้นเชียวเรอะ เพื่อนหนุ่มของเธอคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ แล้วเธอคิดว่า เธอจะแต่งงานกับใครมั่งล่ะ ไอ้หนุ่มเคราะห์ร้ายพวกนั้นน่ะ ”

อีกเรื่องหนึ่ง
ก๋อยกับเก๋เป็นเพื่อนรักกัน และทั้งคู่เป็นกะเทย คุณรู้แล้วซีนะว่ากะเทยคืออะไร และพวกเขาเหล่านั้นส้องเสพสู่สมกันวิธีไหน และเขาสนุกอย่างไรที่ตรงไหน บอกแล้วว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะสัปดน
ก๋อยเจ็บหนักเป็นตายเท่ากัน ด้วยโรคอะไรอย่าให้บอกเลย หมอบอกว่าคงจะไม่พ้นวันสองวันนี้ ก๋อยก็เรียกเก๋เข้าไปหาข้าง ๆ เตียงแล้วสั่งเสีย
“ นี่ เก๋ เวลาฉันตายนะ เธอช่วยทำบุญให้ฉันหน่อย ”
“ บอกมาเหอะ ก๋อย ฉันทำให้ทั้งนั้น ” เก๋ปลอบใจเพื่อน
“ เธอช่วยเอาเมล็ดเชอรี่ยัดไว้ที่ก้นฉันหน่อยนะ แล้วเวลาฝังฉันอย่าฝังให้ลึกนัก เอาศพฉันคว่ำหน้าลงก้นหลุมนะ เก๋นะ กลบดินแล้วให้หมั่นรดน้ำทุก ๆ วัน พอต้นเชอรี่มันงอกขึ้นมา ปล่อยให้มันโตของมัน พอมันโตต้นพอจะแข็งแล้วละก็ เก็จ๋า เธอช่วยเขย่าต้นมันด้วยนะจ๊ะ เขย่าเช้าหนเย็นหนนะจ๊ะ อย่าลืม ”

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 14

เรื่องของตำรวจ
ทั้งบ้านนอกและในกรุง
(เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2525)

ในบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ตำรวจเป็นข้าราชการพวกเดียวที่เป็นกระโถนท้องพระโรง ไม่ว่าอะไรต่ออะไรจะต้องมาลงที่นี่
เมื่อเป็นที่ทิ้งขยะอย่างนี้ ก็ต้องมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับพวกตำรวจนี่บ่อย ๆ
ผัวเมียทะเลาะกัน ก็ขึ้นโรงพัก ให้ตำรวจไกล่เกลี่ยให้ กรมตำรวจต้องมีระเบียบข้อบังคับ ในเรื่องเกี่ยวกับผัวเมียไว้เป็นพิเศษ ว่าไว้เลยทีเดียวว่า ถ้าผัวเมียทะเลาะกัน ซึ่งโดยมากมักจะไปถึงขั้นตบตีกันอุตลุด ตำรวจจะต้องดำเนินการอย่างไร สำหรับนายตำรวจที่สำเร็จออกมาใหม่ ๆ ก็ต้องมีพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำสั่งสอนในเรื่องการดำเนินการให้เหมาะสม
ถ้าใครแนะนำให้เลิกกันไปเสียเลยเพื่อตัดรำคาญ เขาก็ว่า ยังไม่เป็นในการทำงาน ฉะนั้น ตำรวจนครบาลจึงเจนจัดในเรื่องมโนสาเร่อย่างนี้มาก แต่เจ้าตัวกลับจัดการเรื่องของตัวเองไม่ถูกก็มี
เรื่องคดีข่มขืน อ๊ะ – เรื่องอย่างนี้สนุก เพราะจะต้องสอบสวนกันถึงรายละเอียดจนถึงที่สุด เพราะการทำสำนวนเรื่องการขมขืนนี้ ต้องทำให้สมบูรณ์ ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่จะเป็นความผิดตามตัวบทกฎหมาย มิฉะนั้นจะต้องถูกทางอัยการผู้ตรวจสำนวนแย้งกลับมา อัยการเป็นผู้นำคดีขึ้นสู่ศาล เขาต้องการหลักฐานที่มั่นคงที่จะฟ้องได้
ตำรวจนครบาลทุกคนจะต้องพบคดีข่มขืนกระทำชำเราคนละหลาย ๆ คดี ผมยืนยันได้ ถ้านาย ตำรวจนครบาลคนใดไม่เคยมีคดีข่มขืนเข้ามาสอบสวนเลย นายตำรวจคนนั้นก็เหมือนคนถูกล็อตเตอรี่ หรือไม่ก็คงทิ้งเวรยัน
ผมเคยมีคดีข่มขืนเรื่องหนึ่งที่ประทับใจมาจนถึงป่านนี้ ... !
ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนเป็นสาวใหญ่ อายุสามสิบเศษเห็นจะได้ เธอขึ้นแจ้งความเรื่องถูกข่มขืนนี้กับผมตอนค่ำวันหนึ่ง บอกกับผมว่า เพิ่งจะเกิดเหตุเดี๋ยวนี้เองที่บ้านของเธอ และตัวชายผู้กระทำความผิดยังอยู่ในบ้าน ให้ผมไปจับ ผมก็ให้สิบเวรจัดตำรวจไปกับเธอผู้นั้น ไปเอาตัวผู้ข่มขืนเธอมา
ผู้กล่าวหากับผู้ต้องหาและตำรวจมาถึงโรงพักด้วยรถของผู้ต้องหา พอมาถึง ผู้กล่าวหาก็จะให้ผมเอาตัวชายหนุ่มใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ต้องหานั้น เข้าห้องขังให้ได้ในเดี๋ยวนั้น ผมก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน ต้องสอบสวนทวนความกันเสียก่อนที่จะเอาคนเข้าห้องขัง
“ สอบสวนทวนความอะไรกันอีกล่ะคะ ” เธอผู้กล่าวหาขึ้นเสียงเอา “ ยังหมาดอยู่นี่ ต้นขาฉันยังเปรอะอยู่เลย ”
“ ข่มขืนอะไรกันหมวด ” ผู้ต้องหาแก้ขึ้นมาบ้าง “ ก็แม่นี่เอาผมทุกวัน เขาจะให้ผมเลิกกับเมียให้ได้ เร่งเร้าทุกวัน ผมมายอมเลิก เขาก็จะเอาเรื่องผม ”
“ หนอย ” มีนี้ผู้กล่าวหาชี้หน้าผู้ต้องหา “ เอาอยู่ทุกวัน พูดออกมาได้ ขาอ่อนฉัน น้ำหน้าอย่างแกไม่ได้มีวันเห็นหรอก ”
ผมเกือบจะถามออกไปแล้วว่า เมื่อกี้ที่เขาข่มขืน เขาไม่ได้ก้มมองขาอ่อนหรือยังไง แต่ไม่ถาม
“ ฉันยังไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ ” ผู้กล่าวหาพูดขึ้นอีก “ เพิ่งโดนกระทำวันนี้ ถ้าคนเคยจะเจ็บเรอะ ผู้หมวดดูก็ได้ ”
“ ดูอะไรครับ ” ทีนี้ผมถาม
“ ดูของฉันซีคะ ดูว่าของฉันยังไม่ชำรุดเสียหาย ”
“ ผมไม่ใช่หมอ แต่ถ้าคุณจะเอาเรื่องจริง ๆ ผมก็ต้องส่งคุณไปให้หมอตรวจ ” ผมว่า
“ ฉันไม่อยากให้หมดดู ” เธอว่า
“ หมอเขามีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ครับ ” ผมชี้แจง
“ หมวดดูเสียก่อนไม่ได้เรอะ? ประเดี๋ยว กว่าจะถึงหมอ อะไรต่ออะไรมันแห้งหมด ”
“ อะไรล่ะครับ ที่มันจะแห้ง ? ” ผมซัก
“ ก้อ ไอ้น้ำอะไรที่เขาทิ้งไว้จนเปรอะหน้าขาฉันน่ะซี ” เธอเถียง “ กว่าจะไปถึงหมอ มันก็แห้งหมด จะมีอะไรเป็นหลักฐาน ” หัวหมอเสียด้วยคุณคนนี้
ผมชักสนุก ไอ้ห้องสอบสวนนี่มันสว่างเสียด้วย มีแต่ห้องสารวัตร ซึ่งอยู่อีกทางปีกของโรงพัก ที่พอจะอาศัยได้
“ ว่ายังไงคะ? ” เจ้าหล่อนถามอีก “ ช้าอยู่ทำไม ? ”
เอาก็เอา ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินออกมานอกห้อง พยักหน้าให้คุณผู้หญิงคนนั้นตามผมไป ผมให้สิบเวรเปิดห้องทำงานของสารวัตร ถือไฟฉายไปด้วย พอเข้าไปในห้องก็ไล่สิบเวรออกไป เขาคงอยากพิสูจน์เหมือนกัน
ผมให้เธอนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เธอก็ลงนั่ง เตรียมการที่จะขยับขา
ประตูห้องเปิดผลัวะออกอย่างแรง แล้วแสงไปก็สว่างจ้า ผมหันไปดู สารวัตรของผมนั่นเอง
“ ทำอะไรน่ะ ไม่เอา ไม่เอา ” เสียงสารวัตรของผมดุเอา ไม่รู้มาเร็วยังงั้นได้ยังไง “ ออกไปห้องสอบสวน ส่งตัวไปให้หมอตรวจ ”
สิบเวรคนนั้นคงไปบอกสารวัตร
พอออกมาเข้าห้องสอบสวน สารวัตรดึงแขนผมเข้าไปหา แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ อย่าอุตริ คุณอยากถูกกล่าวหาอีกคนหนึ่งเรอะ หมอเขามีหน้าที่ คุณไม่มี ”
เรื่องข่มขืนที่สนุก ๆ กว่านี้มีอีกเยอะ ไม่เชื่อลองไปถามนายตำรวจนครบาลดู คนไหนก็ได้ !

ตลกสังคม เรื่องที่ 13

เรื่อง ตำรวจเมืองนอก

เขียนถึงตำรวจบ้านนอกมาแล้ว ลองอ่านเรื่องของตำรวจเมืองนอกดูบ้างเป็นไง ไม่เบาหรอก
เมื่อผมถูกส่งไปทัศนาจรต่างประเทศ โดยที่ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ออกค่าเครื่องบินให้เมื่อปี ๒๕๐๐ นั้น ผมกับเจ้านาย และเพื่อนอีกคนคือ พ.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี ถูกส่งให้ไปใช้ชีวิตสงบสติอารมณ์อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เขาให้ผมลงเครื่องบินที่เจนีวา หาที่พักเอาที่นั่น
เจนีวาเป็นเมืองเปิด ใครจะไปใครจะมาที่สวิสส์ก็ต้องมาลงที่เจนีวานี่แหละเสียเป็นส่วนมาก ที่ไปลงที่ซูริคนั้นมีน้อย เจนีวาจึงเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นเมืองนานาชาติ เราจะพบชนชาติต่าง ๆ แทบจะทั่วโลก เดินทางไปมาผ่านนครเจนีวานี้ไม่รู้กี่ชาติกี่ภาษา
ผมเคยถูกคนพม่ามาส่งภาษา ทุงยาหม่าเว้ เอากับผมเข้าให้ก็มี เขานึกว่าผมเป็นพม่า
เจนีวาเป็นแหลมจะงอยของสวิสส์ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส เขาเรียกว่า สวิสส์โรมองค์ สวิสส์เป็นประเทศที่แบ่งภาคออกเป็นสามภาค สามภาษา เหนือขึ้นไปเป็นสวิสส์เยอรมัน ใช้ภาษาเยอรมัน ทางด้านใต้ติดกับประเทศอิตาลี ก็ใช้ภาษา อิตาเลียน ส่วนกลางใกล้ฝรั่งเศสก็ใช้ภาษาฝรั่งเศส คนสวิสส์ต่างภาคมาเจอกัน พูดกันไม่รู้เรื่องก็มี เขาก็อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกลางกันได้ ไม่มีปัญหาทางการเมืองอะไร
ที่นั่น ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษได้ก็เหมือนคนวิเศษ คนสวิสส์ที่พูดอังกฤษได้ จะต้องแสดงภูมิของเขาต่อหน้าเพื่อนร่วมชาติว่า ข้านี่เหนือชั้นกว่าแก
ตำรวจสวิสส์ก็เหมือนกับตำรวจที่ไหน ๆ ในโลก ตำรวจนี่ไม่รู้มันเป็นยังไง นิสัยให้มันเหมือนกันไปทุกแห่งในโลก ไอ้เรื่องแบมือไขว้หลังแล้วกระดกมือให้ใส่อะไร ๆ ลงไปบนฝ่ามือนั้น ใช้วิธีเดียวกันทั้งหมดในโลก เพราะฉันหันหลังให้ แกเอาอะไรมาใส่มือฉันไม่รู้ เอาใส่กระเป๋า ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ฝรั่งเศสเอาคาสิโนมาตั้งไว้รอบ ๆ เจนีวาไปหมด เพราะความที่เป็นจะงอยเข้าไปในฝรั่งเศส ออกจากเจนีวาไปทางรถยนต์ทางตะวันออก จะเจอกับคาสิโนในเอวิอองของฝรั่งเศส ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะเจอเอาดีโวนตั้งคาสิโนดักอยู่ ลงตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเจอคาสิโนของชาโมนี กับอานเนอซีดักอยู่ ไอ้เมืองหลังนี่คนไทยไม่ค่อยอยากจะไป เพราะชื่อมันไม่เป็นมงคล มันชื่ออานเนอซี พูดเป็นภาษาไทยว่า อานน่ะซี ใครไปเป็นอานกลับมาทุกราย
ไอ้เรื่องคาสิโนนี่ ผมก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยท่านทำยักยันอยู่ทำไม จะตั้งก็ไม่ตั้ง ไม่รู้กระดากอะไรอยู่ มันรายได้เข้าประเทศชัด ๆ ของฝรั่งเศสเขาห้ามไม่ให้คนฝรั่งเศสเข้าไปเล่นเด็ดขาด ผู้ที่เข้าไปต้องมีพาสปอรต์ แล้วเขาจะจดหมายเลขเอาไว้ มาทีหลังก็จำได้ ของเราทำอย่างเขามั่งไม่ได้หรือยังไง
ด่านที่ผ่านเข้าฝรั่งเศสเหมือนกัน เขาไม่เข็มงวด รถมีเบอร์สวิสส์ผ่านเข้าไปเป็นโบกผ่านหมด จะมีก็แต่ขาออกจากสวิสส์ และขาเข้า ที่ทางสวิสส์จะตรวจทุกครั้ง
นอกจากตำรวจตรวจแหลกธรรมดานี่แล้ว เขายังมีตำรวจสาธารณสุขอีกด้วย พวกนี้มีหน้าที่ตรวจตราอาหารที่จะนำเข้าประเทศและพวกพืชต่าง ๆ เห็นไม่ชอบมาพากล พี่แกกักไม่ให้เข้า พวกเราไปอยู่ที่ไหนก็ต้องสั่งอาหารไทยเข้าไป มันอดไม่ได้ เวลาไปรับอาหารที่ส่งมาที ก็ต้องไปอธิบายกันว่าอะไรเป็นอะไร เหมาะ ๆ ทำส่งให้แกกินเสียบ้าง ก็ชอบอกชอบใจกันเป็นพิเศษ ทีนี้อะไร ๆ เข้ามาก็ใช้ได้
อยู่มาวันหนึ่งก็มีเรื่องจนได้ ผมกับพันศักดิ์อยู่บ้านเดียวกัน เราสั่งพวกน้ำปลาแมงดาเข้ามากินกัน ทางกรุเทพ ฯ ก็ส่งมาให้ ทีนี้เขาจะให้มันมีรสมีชาติ ก๊อใส่ตัวแมงดาส่งไปให้ด้วย แช่มาในน้ำปลาเป็นตัว ๆ เลย
ทางเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราไปรับอาหารที่ส่งมา ทางกรุงเทพ ฯ บอกมาว่าอาหารชุดนั้นมีน้ำปลาแมงดามาด้วย ก็ดีอกดีใจกันจะได้ลิ้มรสน้ำปลาแมงดาให้หนำ พอไปถึงเขาก็จัดของไว้ให้เรียบร้อย และบอกกับเราว่าขาดไปรายการหนึ่ง เสียใจด้วย เขาบอกว่า
“ มันเป็นกลิ่นฉุน ๆ แต่แมงสาบมันตกลงไปตายหลายตัว เลยต้องเททิ้งไปหมด ”

!!




วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 12

เรื่อง ตลกสังคม 12

อาทิตย์นี้ เรามาเล่าเรื่องเบา ๆ สมองสู่กันฟังอีกดีกว่า คุณ ๆ จะได้เอาไปเล่าต่อเป็นที่เฮฮากันในโต๊ะเหล้า โต๊ะข้าว ในวันพักผ่อนสุดสัปดาห์อย่างนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก ก็ตลกสังคม ถ้าจะว่าเป็นไทย ๆ กันนั่นแหละครับ วันไหน อาทิตย์ไหนเหมาะ ๆ ผมก็อาจจะเอา เดอร์ตี้โจ๊ก หรือ ตลกสัปดน มาเขียนให้คุณอ่านบ้างก็ได้ ถ้าบรรณาธิการท่านใจกล้าปล่อยออกมาให้คุณ ๆ อ่านกัน

ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อย่าไปบอกเลยว่าชื่อมหาวิทยาลัยอะไร ท่านศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีหน้าที่บรรยายวิชาสรีรศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับบรรดานิสิตทั้งหญิงและชายทั่วหน้ากัน และท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ท่านเป็นนักวิชาการ ท่านก็ไม่มีลูกเล่นลูกล้อที่จะให้พวกลูกศิษย์สนุกสนานได้ด้วยคำบรรยายของท่าน ต่างก็เบื่อหน่ายกันทั่วหน้า เมื่อถึงชั่วโมงของท่านศาสตราจารย์ผู้นี้
วันหนึ่ง พวกลูกศิษย์ก็นัดแนะกันว่า เมื่อท่านศาสตราจารย์ท่านนี้เข้าบรรยายเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ทุกคนก็จะพากันลุกขึ้นเดินออกจากห้องบรรยายไป โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์หญิงทั้งหลาย เพราะท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ นอกจากจะทำให้บรรยากาศหงอยเหงาแล้ว ท่านก็ยังมีอายุมาก ไม่เป็นที่รื่นรมย์สำหรับบรรดานิศิษย์หญิงเลย
ท่านศาสตราจารย์ท่านนั้นก็รู้ถึงความนัยอันนี้ และรู้ถึงการนัดแนะของพวกลูกศิษย์ที่จะทำกันในวันนั้น เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน แต่ท่านก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร คงเข้าห้องบรรยายตามปกติเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปตามปกติ บรรยายวิชาการอันน่าเบื่อหน่ายนั้นอย่างเคย และสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของบรรดาลูกศิษย์อยู่แล้ว ทันทีท่านก็หันเหการบรรยายออกมานอกเรื่องกลางคันว่า
“ เห็นเขาว่ากันว่า ที่โคราช ทหารอเมริกันเพิ่มจำนวนขึ้นอีกมาก เลยทำให้โสเภณีที่นั่นชักจะขาดแคลน ...”
ถึงตอนนี้ บรรดานิสิตหญิงที่เริ่มจะเซ็ง ๆ ก็มองตากันตามที่นัดแนะกันไว้ แล้วก็พากันลุกขึ้นหอบตำราเดินไปทางประตูห้อง
“ ประเดี๋ยวก่อน พวกเธอทั้งหลายนั่นน่ะ ” ท่านศาสตราจารย์พูดขึ้น ชี้นิ้วไปที่พวกนิสิตหญิงเหล่านั้น “ รถไฟขบวนที่จะไปโคราช กว่าจะออกก็ห้าโมงเย็นนะเธอนะ ”
เรื่องนี้ จะให้ชื่อว่า ทีเด็ดศาสตราจารย์ ก็ได้

ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องคดีหย่าร้างระหว่างผัวเมียที่มีชื่อในวงสังคมคู่หนึ่ง ฝ่ายภรรยาฟ้องหย่าสามีด้วยข้อหาหลายประการ ตั้งแต่ความเจ้าชู้ การทอดทิ้งบ้านช่องออกไปหาความสำราญนอกบ้าน แถมยังแอบไปมีเมียน้อยอีก ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายภรรยาก็ยังซื่อสัตย์ภักดีและเสียสละอดทนทุกอย่าง การสืบพยานดำเนินมาจนถึงวันที่ตัวภรรยาผู้เป็นโจทก์จะต้องขึ้นศาล และให้การเป็นพยานตัวเองเป็นพยานคนสุดท้าย เธอได้ให้การต่อศาล ตอบข้อซักถามของทนายโจทก์ของเธอ ถึงคุณงามความดีของเธอ และความซื่อสัตย์ที่เธอมีต่อสามีตลอดมา แล้วกลับได้รับการตอบแทนด้วยความไม่ซื่อของสามี ทำให้ทั้งศาลและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีนี้ มีความเห็นใจเธอทั่วหน้ากัน
เมื่อจบขนวนการฝ่ายโจทก์แล้ว ก็ถึงความของฝ่ายจำเลยจะซักค้านบ้าง ทนายจำเลยก็ลุกขึ้นไต่ถามถึงชื่อของเธอ นามสกุล และความสัมพันธ์ ระหว่างเธอกับสามีซึ่งเป็นฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นการเปิดฉากการซักถามแล้ว ทนายก็เดินกลับไปโต๊ะที่นั่งฝ่ายจำเลย หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ยืนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เลยหน้าขึ้นมองภรรยาซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ แล้วถามว่า
“ คุณโสภีครับ ผมขอให้คุณตอบคำถามของผมต่อไปนี้อย่างจริงใจ และคุณต้องตอบด้วยความจริง เพราะว่าขณะนี้คุณให้การในฐานะพยาน จะให้การเท็จไม่ได้ คุณฟังให้ดีนะครับ จริงหรือไม่ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ นี้ คุณได้นั่งรถแท็กซี่คันหนึ่งไปสองต่อสองกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ไปยังสวนลุมพินี คุณสั่งให้รถแท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางเกาะลอย แล้วให้จอดรถไว้ในมุมมืดบริเวณนั้น แล้วคุณก็ไล่ให้คนขับรถแท็กซี่คันนั้นไปเสียที่อื่น โดยคุณให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เขาไป และไม่ให้เขากลับมาภายในสองชั่วโมง แล้วคุณกัยชายหนุ่มก็แสดงบทรักกันในรถแท็กซี่คันนั้น โดยมิได้คำนึงถึงศีลธรรมประเพณีอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งได้มีคนเดินผ่านคุณไป คุณก็ยังไม่ได้สังเกต หรื่อรู้สึกตัวทั้งสองคน โปรดตอบผมว่าจริงหรือไม่ ”
ใบหน้าของเธอผู้นั้นถอดสี ชั่วครู่เดียว แล้วเธอก็คุมสติได้ เอ่ยเอื้อนวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาเยือกเย็นว่า “ กรุณาบอกดิฉันอีกทีได้ไหมคะว่า วันนั้นเป็นวันที่เท่าไร เดือนอะไรคะ


ในวงเหล้าลงข้าวที่ค่อนข้างจะมีแต่สมาชิกที่สนิท ๆ กัน ไม่ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยหรือไม่ มักจะมีเรื่องตลก ๆ เบา ๆ สมองมาคุยสู่กันฟัง ย่อยอาหารและทำให้เหล้าเดินหน้าจนลืมว่าจะหมดขวด โจ๊กพวกนี้ฝรั่งเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก เราก็ให้ชื่อเสียอย่างไทย ๆ ว่า ตลกสังคม

พ่อหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพาคุณสาวซึ่งจ้องตากันมานานแล้ว ไปกินเหล้ากินข้าวจนอารมณ์สุกงอมแล้ว ก็พาเจ้าหล่อนมาพักผ่อนที่ห้องของเขา ซึ่งแน่ละต้องเป็นห้องชายโสด แต่จะเป็นห้องเดียวที่เขามีอยู่หรือไม่นี่ เราไม่ยืนยันหรือนั่งยันนอนยันได้ เขาคงจะได้พยายามที่จะพิชิตหล่อนมานานแล้ว แต่ก็คงจะเป็นแต่เพียงความคิด แต่ในใจยังไม่กล้าเอ่ยเอื้อนออกมา ก็เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษจนน่าสงสาร
ในค่ำคืนนั้น หลังจากพ่อหนุ่มได้บรรจงปรุงสุราพิเศษให้สาวเจ้าถือในมือแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องพูดอะไรกันให้มันเด็ดขาดไปเสียที เมื่อได้รวบรวมความกล้าหาญไว้ได้ที่แล้ว เขาก็เอ่ยวาจากับหล่อนในขณะที่มือหนึ่งโอบหล่อนไว้ อีกมือหนึ่งถือถ้วยมาร์ตินี่ที่กำลังได้ที่อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พลางเขี่ยปอยผมของหล่อนเล่นว่า
“ นี่แนะ โฉมศรี เธอจะขัดขืนไหม ถ้าฉันจะขอให้เธอเป็นของฉันเสียวันนี้ เดี๋ยวนี้ ”
โฉมศรีปรายนัยน์ตาอันน่ารักของหล่อนมองดูเขา แล้วเอ่ยเสียงอันซึมซาบของหล่อนออกมาว่า
“ ฉันยังไม่เคยเลยนี่คะ ”
“ ไม่เคยร่วมรสกับใครเลยงั้นเหรอ ” พ่อหนุ่มอุทานออกมาด้วยความผิดหวัง
“ พูดบ้า ๆ ” โฉมศรีตวัดสายตา “ ไม่เคยขัดขืนต่างหากเล่า ”
คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้าคุณเป็นพ่อหนุ่มคนนั้น คุณจะทำอย่างไรต่อไป ...?


***

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 11

เรื่อง รายการเก็บตก
(เขียนเมื่อ พ.ศ. 2525)

คุณคิดไหมว่า การเขียนเรื่องสั้นนั้นเขียนยากกว่าเรื่องยาว นักเขียนเรื่องสั้นทุกคนต้องรู้ดี ผมหมายถึงว่าเขียนให้น่าอ่าน ถ้าจะเขียนกันอย่างชุ่ย ๆ เขียนยังไงก็ได้ วันนี้ผมจึงเอาเรื่องเก็บตกมาเขียน เรื่องเก็บตกนี้ก็ต้องอ่านมาก ฟังมาก และเห็นมาก จึงจะเก็บตกมาได้ เรื่องต่อไปนี้ก็เก็บตกเอามาจากวิทยุ

ผมชอบฟังวิทยุทุกเช้า ว่างเมื่อไหร่ผมก็มีวิทยุอยู่ข้าง ๆ ตัวเสมอ รายการอะไรก็ได้ ฟังทั้งนั้นละ รายการวิทยุแต่ละสถานีนั้น ฟัง ๆ ไปเถอะครับ ได้ความรู้ดี เหมือนอ่านหนังสือ บางทีความรู้ที่ได้มานั้นไม่เข้าท่าก็มีเหมือนกัน อย่างที่จะเขียนให้อ่านกันต่อไปนี้

วันหนึ่งตอนเช้า ๆ ผมรับประทานอาหารเช้าไปก็เปิดวิทยุฟังไป สถานีไหน ขอโทษ ไม่บอก บางรายการที่ผมเคยชอบเปิดฟังอยู่เป็นประจำ ต่อ ๆ มา เจ้าของรายการเกิดสำคัญตัวผิด คิดว่าตัวเป็นเทวดาไปเสียแล้ว พูดจาเลอะเทอะ ยกตนข่มท่าน ผมก็เอียนเลิกฟังไปเลยก็มี อย่าให้บอกเลยว่าเป็นใคร

บุคคลระดับชั้นอธิบดีกรมใดกรมหนึ่ง ก็ไม่บอกอีกแหละว่ากรมอะไร ออกมาพูดในรายการแถลงกิจการของกรมของตัว ผมแทบไม่เชื่อว่าผู้พูดเป็นบุคคลระดับอธิบดี เพราะพูดภาษาไทยไม่เอาไหน ตัว ร. กล้ำไม่มีเสียเลย เขาว่ายังงี้

" กมของผมนะฮะ ที่จะอนุญาตให้ตั้งล้านค้า ต้องพิจาละนากันมาก นะฮะ นะฮะ (หลายครั้ง) " พูดติดทีก็นะฮะ นะฮะเสียที แต่ผมก็นั่งฟังด้วยความอุตสาหะ เพราะอยากรู้ว่าท่านอธิบดีท่านนั้นจะพูดได้เนื้อถ้อยกระทงความซักแค่ไหน ฟังจนจบก็ยังจับเนื้อความอะไรไม่ได้ ก็ไม่ทราบว่าท่านก้าวหน้ามาเป็นถึงอธิบดีได้ยังไง

ทีนี้ก็มาถึงนักพูดระดับคุณหญิงอีกท่านหนึ่ง อย่ารู้เลยว่าคุณหญิงท่านนั้นมีชื่อว่าอะไร จะเสียไปถึงสามีซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าคุณเปล่า ๆ

เรื่องนี้ก็แปลก เวลาสามีเป็นเจ้าคุณ เมียก็เป็นคุณหญิงไปด้วยโดยอัตโนมัติ แต่ครั้นภรรยาได้เป็นคุณหญิง สามีกลับต้องเป็นนายอยู่ยังงั้น ไม่ได้เป็นเจ้าคุณไปด้วย คุณหญิงบางท่านยังเป็นนางสาวอยู่ก็มี สงสัยว่าถ้าไปแต่งงานจะเลือกเจ้าคุณได้หรือเปล่า

คุณหญิงท่านนั้นที่ผมจะเขียนถึง ท่านเป็นนักพูดที่เก่งในสังคม แต่เมื่อท่านพูดท่านพูดยังงี้

" ดิฉันจะได้พูดถึงเรื่องการเข้าสังคมของผู้หญิงนะคะ ต่อไปนี้ ดิฉันก็จะ อ้า ขอแนะนำเรื่องหนึ่ง อ้า อ้า ... " ผมฟังได้แค่นี้ก็ต้องปิดวิทยุ เสียวไส้ ...!

ทีนี้ก็ถึงเรื่องเพลง เดี๋ยวนี้นักแต่งเพลงเขียนเพลงออกมากันมากมาย เพลงไทยกำลังขึ้นสมองคนหนุ่มคนสาว เด็กที่พอจะจำความได้ ก็จำเอาไปร้องกันเกร่อ เพลงที่ฮิต ๆ มีอยู่หลายเพลง ไม่ต้องออกชื่อเพลงท่านนักฟังก็คงจะทราบกันดี แต่บางเพลง เอาแต่ทำนองให้เร้าใจ เนื้อร้องจะเป็นยังไง ไม่คำนึง ผมบังเอิญเปิดไปได้ยินเข้า เป็นเพลงเมียน้อยร้องให้ผัวที่มีเมียหลวงแล้วฟัง

" อย่ามาหาน้องบ่อยนะคะ เดี๋ยวเมียจะว่า ...!"
เนื้อร้องยังมีต่ออีกยาว ใจความจับได้ว่า ห้ามไม่ให้ผัวที่มีเมียหลวงอยู่แล้วนั้นมาหาบ่อย ๆ กลัวเมียใหญ่เขาจะว่า เรียกว่าเกรงใจเมียหลวง ว่ายังงั้น ซึ่งมันออกจะผิดธรรมดาสำหรับคนที่มีเมียน้อยอยู่สักหน่อย ทำให้ผมออกจะเห็นใจ และถ้าเมียใหญ่เกิดมาได้ยินเสียงร้องนี้เข้าก็อาจจะเห็นใจไปด้วย อนุญาตให้ผัวไปหาได้บ่อยเข้าก็อาจเป็นได้

ผมก็ไม่ทราบว่า คณะกรรมการ กบว. ท่านปล่อยเพลงอย่างนี้ออกอากาศมาได้ยังไง ...?

ความวิบัติของภาษาที่เป็นไปเพราะความอะไรก็ไม่รู้ของคณะกรรมการควบคุมอะไรต่ออะไรที่ตั้งกันมาให้เปรอะไปหมดนั้นก็มีอยู่ อย่าง ยาบวดหาย ทัมใจ ประสระบอแรด ยังงี้ ก็ไม่ทราบว่าท่านได้ทราบถึงความส่งเดชของท่านบ้างหรือเปล่า ก็เห็นยังปล่อยกันอยู่อย่างนั้น จนภาษาจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว

ยังสบายกันดีอยู่หรือครับท่าน ...?

เฮ้อ! เขียนไปแล้วก็ละเหี่ยใจ ว่าจะเขียนเรื่องเบา ๆ ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องหนักไปได้ก็ไม่ทราบ

***

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 10

เรื่อง ภาษาวิบัติ
(เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2525)

ผมว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้นานมาแล้ว แต่ก็ยังอดใจเอาไว้ คอยดูว่าอะไร ๆ จะดีขึ้นบ้างหรือเปล่า มันก็ยังเปล่าอยู่นั่น เลยต้องเขียน

ผมไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ และความเชี่ยวชาญทางด้านภาษานั้นยิ่งแล้วใหญ่ ที่ผมเขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ก็สะกดการันต์ผิดบ่อย ๆ ช่างเรียงหรือคนอ่านปรู๊ฟที่เขาเรียกว่า รีไรท์เตอร์ ก็ไม่รู้ ที่คอยแก้คำสะกดการันต์ของผมอยู่เสมอ ๆ ผมแอบขอบใจอยู่เงียบ ๆ มานานแล้ว และทั้ง ๆ ที่จดจำเอาไว้อย่างนี้ก็ยังหลายหน ไม่วายที่จะเขียนผิดอีก ถ้าสมัยเป็นนักเรียนก็คงจะถูกครูให้เขียนคำที่สะกดผิดไม่รู้ว่ากี่ร้อยหนแล้ว

แต่เรื่องภาษาพูดนี่ ผมพิถีพิถันมาก ตัวกล้ำด้วย ร. ล. ผมไม่ยอมให้ผิด ฉะนั้น คำว่า ปัปปุงเปี่ยนแปง จะไม่มีหลุดออกจากปากผม ผมเคยดูในจอโทรทัศน์และได้พบได้ยินบ่อย ๆ ที่ดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงบางคน พูดภาษาวิบัติให้ได้ยิน ดาราหนังคนหนึ่งไปถ่ายโฆษณาให้ทางราชการเสียด้วย เรื่องประหยัดไฟนี่แหละครับ เรียกร้องให้คนช่วยกันดับไฟฟ้า เพราะว่าเวลานี้พลังงานนี้กำลัง ขาดแคน ให้ช่วยกันดับไฟก่อนที่จะไม่มีไฟให้ดับ

ผมเป็นห่วงเด็ก ๆ ที่นั่งดูอยู่หน้าจอโทรทัศน์มันจะจำเอาไปพูด อนาคตภาษาจะวิบัติไปตามๆ กัน

ยิ่งรายการโฆษณาผงซักฟอกอะไรนั่น ชนิดที่เป็น ปาลามาจารย์จริง ๆ นะคะ นั่นแหละ อยากจะออกชื่อผงซักฟอกนั่นเหมือนกัน แต่จะกลายเป็นการช่วยเขาโฆษณาไปด้วย คุณผู้หญิงที่คุยอยู่กับท่านผู้ชมทางจอนั้น แกว่า ผงซักฟอกที่ว่านี่น่ะ ปับปุงใหม่ กิ่นสะอาด

ไอ้ฟังนะฟังรู้อยู่หรอกว่ามันเป็นอะไร เด็ก ๆ ที่นั่งล้อมจอโทรทัศน์อยู่นั่นซิครับ มันจะจำไป ปับปุง และก็ ดมกื่น กันต่อ ๆ กันไป สังเกตบ้างไหมครับว่า เดี๋ยวนี้คุณจะได้ยินคนพูดภาษาวิบัติในที่ทั่ว ๆ ไป ตามตลาดหรือท้องถนนน่ะช่างเถอะ เพราะพูดแล้วก็แล้วไป แต่ในจอโทรทัศน์นี่ มันไม่น่าจะให้มีออกมาให้คนฟัง เห็นเขาว่ามีคณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์อยู่ ที่เรียกว่า กบร. นะ ท่านเคยได้สังเกตบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือเรื่องภาษานี้เขาไม่ควบคุมกัน มันจะวิบัติอย่างไร ช่างมัน หรือยังไง..?

เรื่องการพูดของคนนี่ บางคนหัดยังไงก็ไม่หาย มันจะออกมาเป็น ปับปุงเปี่ยนแปง ถ้าไม่พยายามแก้ พูดทีไรมันก็ออกยังงั้นทุกที จนเจ้าตัวติดเป็นนิสัย แก้ไม่หาย

เรื่องแก้ไม่หายนี่ เรื่องพูดติดอ่างอีกเรื่องหนึ่ง ผมเคยได้ยินคนเป็นอ่างสองคนคุยกัน เหนื่อยแทน เพราะกว่าเขาจะรู้เรื่องกัน ก็อ้าปากค้างเสียหลายตอน เรื่องที่ควรจะรู้กันในหนึ่งนาที ก็ต้องคุยกันถึงห้านาที หรือบางทีก็นานกว่านั้น แล้วคนติดอ่างนี่ เขาว่าอย่าไปล้อเข้า จะเป็นเอง ติดไปด้วย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชอบล้อเพื่อนที่ติดอ่างอย่างว่า เดี๋ยวนี้หมอนั่นกลับพูดติดอ่างหนักกว่าคนที่มันล้อไปอีก

มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า บุรุษสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินมาหา แล้วถามทางไปหัวลำโพง

" ปะ ปะ ไป หัว หัวละ ลำ ลำ โพง ปะ ไปทะ ทาง หะ ไหน ครับ "

คนที่ถูกถามยืนนิ่งเฉยไม่ยอมตอบ จนคนถามเดินเลยไป เพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้วยจึงถามเพื่อนว่า

" มึงไม่รู้หรือวะว่าไปหัวลำโพงไปทางไหน ไอ้กูก็ไม่รู้เสียด้วย จะบอกเขาแทนมึงก็ไม่ได้ "

" กะ กะ กู มะ ไม่ กะ ก้า พะ พูด โว้ย " เพื่อนที่ถูกถามตอบยังงี้

ก็ไม่รู้ว่าถ้าแกตอบออกมา อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

นี่จะอนุโลมเป็นภาษาวิบัติได้หรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบ วานผู้รู้ช่วยบอกที

***