จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 12

เรื่อง ตลกสังคม 12

อาทิตย์นี้ เรามาเล่าเรื่องเบา ๆ สมองสู่กันฟังอีกดีกว่า คุณ ๆ จะได้เอาไปเล่าต่อเป็นที่เฮฮากันในโต๊ะเหล้า โต๊ะข้าว ในวันพักผ่อนสุดสัปดาห์อย่างนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก ก็ตลกสังคม ถ้าจะว่าเป็นไทย ๆ กันนั่นแหละครับ วันไหน อาทิตย์ไหนเหมาะ ๆ ผมก็อาจจะเอา เดอร์ตี้โจ๊ก หรือ ตลกสัปดน มาเขียนให้คุณอ่านบ้างก็ได้ ถ้าบรรณาธิการท่านใจกล้าปล่อยออกมาให้คุณ ๆ อ่านกัน

ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อย่าไปบอกเลยว่าชื่อมหาวิทยาลัยอะไร ท่านศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีหน้าที่บรรยายวิชาสรีรศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับบรรดานิสิตทั้งหญิงและชายทั่วหน้ากัน และท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ท่านเป็นนักวิชาการ ท่านก็ไม่มีลูกเล่นลูกล้อที่จะให้พวกลูกศิษย์สนุกสนานได้ด้วยคำบรรยายของท่าน ต่างก็เบื่อหน่ายกันทั่วหน้า เมื่อถึงชั่วโมงของท่านศาสตราจารย์ผู้นี้
วันหนึ่ง พวกลูกศิษย์ก็นัดแนะกันว่า เมื่อท่านศาสตราจารย์ท่านนี้เข้าบรรยายเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ทุกคนก็จะพากันลุกขึ้นเดินออกจากห้องบรรยายไป โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์หญิงทั้งหลาย เพราะท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ นอกจากจะทำให้บรรยากาศหงอยเหงาแล้ว ท่านก็ยังมีอายุมาก ไม่เป็นที่รื่นรมย์สำหรับบรรดานิศิษย์หญิงเลย
ท่านศาสตราจารย์ท่านนั้นก็รู้ถึงความนัยอันนี้ และรู้ถึงการนัดแนะของพวกลูกศิษย์ที่จะทำกันในวันนั้น เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน แต่ท่านก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร คงเข้าห้องบรรยายตามปกติเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปตามปกติ บรรยายวิชาการอันน่าเบื่อหน่ายนั้นอย่างเคย และสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของบรรดาลูกศิษย์อยู่แล้ว ทันทีท่านก็หันเหการบรรยายออกมานอกเรื่องกลางคันว่า
“ เห็นเขาว่ากันว่า ที่โคราช ทหารอเมริกันเพิ่มจำนวนขึ้นอีกมาก เลยทำให้โสเภณีที่นั่นชักจะขาดแคลน ...”
ถึงตอนนี้ บรรดานิสิตหญิงที่เริ่มจะเซ็ง ๆ ก็มองตากันตามที่นัดแนะกันไว้ แล้วก็พากันลุกขึ้นหอบตำราเดินไปทางประตูห้อง
“ ประเดี๋ยวก่อน พวกเธอทั้งหลายนั่นน่ะ ” ท่านศาสตราจารย์พูดขึ้น ชี้นิ้วไปที่พวกนิสิตหญิงเหล่านั้น “ รถไฟขบวนที่จะไปโคราช กว่าจะออกก็ห้าโมงเย็นนะเธอนะ ”
เรื่องนี้ จะให้ชื่อว่า ทีเด็ดศาสตราจารย์ ก็ได้

ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องคดีหย่าร้างระหว่างผัวเมียที่มีชื่อในวงสังคมคู่หนึ่ง ฝ่ายภรรยาฟ้องหย่าสามีด้วยข้อหาหลายประการ ตั้งแต่ความเจ้าชู้ การทอดทิ้งบ้านช่องออกไปหาความสำราญนอกบ้าน แถมยังแอบไปมีเมียน้อยอีก ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายภรรยาก็ยังซื่อสัตย์ภักดีและเสียสละอดทนทุกอย่าง การสืบพยานดำเนินมาจนถึงวันที่ตัวภรรยาผู้เป็นโจทก์จะต้องขึ้นศาล และให้การเป็นพยานตัวเองเป็นพยานคนสุดท้าย เธอได้ให้การต่อศาล ตอบข้อซักถามของทนายโจทก์ของเธอ ถึงคุณงามความดีของเธอ และความซื่อสัตย์ที่เธอมีต่อสามีตลอดมา แล้วกลับได้รับการตอบแทนด้วยความไม่ซื่อของสามี ทำให้ทั้งศาลและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีนี้ มีความเห็นใจเธอทั่วหน้ากัน
เมื่อจบขนวนการฝ่ายโจทก์แล้ว ก็ถึงความของฝ่ายจำเลยจะซักค้านบ้าง ทนายจำเลยก็ลุกขึ้นไต่ถามถึงชื่อของเธอ นามสกุล และความสัมพันธ์ ระหว่างเธอกับสามีซึ่งเป็นฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นการเปิดฉากการซักถามแล้ว ทนายก็เดินกลับไปโต๊ะที่นั่งฝ่ายจำเลย หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ยืนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เลยหน้าขึ้นมองภรรยาซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ แล้วถามว่า
“ คุณโสภีครับ ผมขอให้คุณตอบคำถามของผมต่อไปนี้อย่างจริงใจ และคุณต้องตอบด้วยความจริง เพราะว่าขณะนี้คุณให้การในฐานะพยาน จะให้การเท็จไม่ได้ คุณฟังให้ดีนะครับ จริงหรือไม่ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ นี้ คุณได้นั่งรถแท็กซี่คันหนึ่งไปสองต่อสองกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ไปยังสวนลุมพินี คุณสั่งให้รถแท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางเกาะลอย แล้วให้จอดรถไว้ในมุมมืดบริเวณนั้น แล้วคุณก็ไล่ให้คนขับรถแท็กซี่คันนั้นไปเสียที่อื่น โดยคุณให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เขาไป และไม่ให้เขากลับมาภายในสองชั่วโมง แล้วคุณกัยชายหนุ่มก็แสดงบทรักกันในรถแท็กซี่คันนั้น โดยมิได้คำนึงถึงศีลธรรมประเพณีอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งได้มีคนเดินผ่านคุณไป คุณก็ยังไม่ได้สังเกต หรื่อรู้สึกตัวทั้งสองคน โปรดตอบผมว่าจริงหรือไม่ ”
ใบหน้าของเธอผู้นั้นถอดสี ชั่วครู่เดียว แล้วเธอก็คุมสติได้ เอ่ยเอื้อนวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาเยือกเย็นว่า “ กรุณาบอกดิฉันอีกทีได้ไหมคะว่า วันนั้นเป็นวันที่เท่าไร เดือนอะไรคะ


ในวงเหล้าลงข้าวที่ค่อนข้างจะมีแต่สมาชิกที่สนิท ๆ กัน ไม่ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยหรือไม่ มักจะมีเรื่องตลก ๆ เบา ๆ สมองมาคุยสู่กันฟัง ย่อยอาหารและทำให้เหล้าเดินหน้าจนลืมว่าจะหมดขวด โจ๊กพวกนี้ฝรั่งเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก เราก็ให้ชื่อเสียอย่างไทย ๆ ว่า ตลกสังคม

พ่อหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพาคุณสาวซึ่งจ้องตากันมานานแล้ว ไปกินเหล้ากินข้าวจนอารมณ์สุกงอมแล้ว ก็พาเจ้าหล่อนมาพักผ่อนที่ห้องของเขา ซึ่งแน่ละต้องเป็นห้องชายโสด แต่จะเป็นห้องเดียวที่เขามีอยู่หรือไม่นี่ เราไม่ยืนยันหรือนั่งยันนอนยันได้ เขาคงจะได้พยายามที่จะพิชิตหล่อนมานานแล้ว แต่ก็คงจะเป็นแต่เพียงความคิด แต่ในใจยังไม่กล้าเอ่ยเอื้อนออกมา ก็เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษจนน่าสงสาร
ในค่ำคืนนั้น หลังจากพ่อหนุ่มได้บรรจงปรุงสุราพิเศษให้สาวเจ้าถือในมือแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องพูดอะไรกันให้มันเด็ดขาดไปเสียที เมื่อได้รวบรวมความกล้าหาญไว้ได้ที่แล้ว เขาก็เอ่ยวาจากับหล่อนในขณะที่มือหนึ่งโอบหล่อนไว้ อีกมือหนึ่งถือถ้วยมาร์ตินี่ที่กำลังได้ที่อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พลางเขี่ยปอยผมของหล่อนเล่นว่า
“ นี่แนะ โฉมศรี เธอจะขัดขืนไหม ถ้าฉันจะขอให้เธอเป็นของฉันเสียวันนี้ เดี๋ยวนี้ ”
โฉมศรีปรายนัยน์ตาอันน่ารักของหล่อนมองดูเขา แล้วเอ่ยเสียงอันซึมซาบของหล่อนออกมาว่า
“ ฉันยังไม่เคยเลยนี่คะ ”
“ ไม่เคยร่วมรสกับใครเลยงั้นเหรอ ” พ่อหนุ่มอุทานออกมาด้วยความผิดหวัง
“ พูดบ้า ๆ ” โฉมศรีตวัดสายตา “ ไม่เคยขัดขืนต่างหากเล่า ”
คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้าคุณเป็นพ่อหนุ่มคนนั้น คุณจะทำอย่างไรต่อไป ...?


***

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 11

เรื่อง รายการเก็บตก
(เขียนเมื่อ พ.ศ. 2525)

คุณคิดไหมว่า การเขียนเรื่องสั้นนั้นเขียนยากกว่าเรื่องยาว นักเขียนเรื่องสั้นทุกคนต้องรู้ดี ผมหมายถึงว่าเขียนให้น่าอ่าน ถ้าจะเขียนกันอย่างชุ่ย ๆ เขียนยังไงก็ได้ วันนี้ผมจึงเอาเรื่องเก็บตกมาเขียน เรื่องเก็บตกนี้ก็ต้องอ่านมาก ฟังมาก และเห็นมาก จึงจะเก็บตกมาได้ เรื่องต่อไปนี้ก็เก็บตกเอามาจากวิทยุ

ผมชอบฟังวิทยุทุกเช้า ว่างเมื่อไหร่ผมก็มีวิทยุอยู่ข้าง ๆ ตัวเสมอ รายการอะไรก็ได้ ฟังทั้งนั้นละ รายการวิทยุแต่ละสถานีนั้น ฟัง ๆ ไปเถอะครับ ได้ความรู้ดี เหมือนอ่านหนังสือ บางทีความรู้ที่ได้มานั้นไม่เข้าท่าก็มีเหมือนกัน อย่างที่จะเขียนให้อ่านกันต่อไปนี้

วันหนึ่งตอนเช้า ๆ ผมรับประทานอาหารเช้าไปก็เปิดวิทยุฟังไป สถานีไหน ขอโทษ ไม่บอก บางรายการที่ผมเคยชอบเปิดฟังอยู่เป็นประจำ ต่อ ๆ มา เจ้าของรายการเกิดสำคัญตัวผิด คิดว่าตัวเป็นเทวดาไปเสียแล้ว พูดจาเลอะเทอะ ยกตนข่มท่าน ผมก็เอียนเลิกฟังไปเลยก็มี อย่าให้บอกเลยว่าเป็นใคร

บุคคลระดับชั้นอธิบดีกรมใดกรมหนึ่ง ก็ไม่บอกอีกแหละว่ากรมอะไร ออกมาพูดในรายการแถลงกิจการของกรมของตัว ผมแทบไม่เชื่อว่าผู้พูดเป็นบุคคลระดับอธิบดี เพราะพูดภาษาไทยไม่เอาไหน ตัว ร. กล้ำไม่มีเสียเลย เขาว่ายังงี้

" กมของผมนะฮะ ที่จะอนุญาตให้ตั้งล้านค้า ต้องพิจาละนากันมาก นะฮะ นะฮะ (หลายครั้ง) " พูดติดทีก็นะฮะ นะฮะเสียที แต่ผมก็นั่งฟังด้วยความอุตสาหะ เพราะอยากรู้ว่าท่านอธิบดีท่านนั้นจะพูดได้เนื้อถ้อยกระทงความซักแค่ไหน ฟังจนจบก็ยังจับเนื้อความอะไรไม่ได้ ก็ไม่ทราบว่าท่านก้าวหน้ามาเป็นถึงอธิบดีได้ยังไง

ทีนี้ก็มาถึงนักพูดระดับคุณหญิงอีกท่านหนึ่ง อย่ารู้เลยว่าคุณหญิงท่านนั้นมีชื่อว่าอะไร จะเสียไปถึงสามีซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าคุณเปล่า ๆ

เรื่องนี้ก็แปลก เวลาสามีเป็นเจ้าคุณ เมียก็เป็นคุณหญิงไปด้วยโดยอัตโนมัติ แต่ครั้นภรรยาได้เป็นคุณหญิง สามีกลับต้องเป็นนายอยู่ยังงั้น ไม่ได้เป็นเจ้าคุณไปด้วย คุณหญิงบางท่านยังเป็นนางสาวอยู่ก็มี สงสัยว่าถ้าไปแต่งงานจะเลือกเจ้าคุณได้หรือเปล่า

คุณหญิงท่านนั้นที่ผมจะเขียนถึง ท่านเป็นนักพูดที่เก่งในสังคม แต่เมื่อท่านพูดท่านพูดยังงี้

" ดิฉันจะได้พูดถึงเรื่องการเข้าสังคมของผู้หญิงนะคะ ต่อไปนี้ ดิฉันก็จะ อ้า ขอแนะนำเรื่องหนึ่ง อ้า อ้า ... " ผมฟังได้แค่นี้ก็ต้องปิดวิทยุ เสียวไส้ ...!

ทีนี้ก็ถึงเรื่องเพลง เดี๋ยวนี้นักแต่งเพลงเขียนเพลงออกมากันมากมาย เพลงไทยกำลังขึ้นสมองคนหนุ่มคนสาว เด็กที่พอจะจำความได้ ก็จำเอาไปร้องกันเกร่อ เพลงที่ฮิต ๆ มีอยู่หลายเพลง ไม่ต้องออกชื่อเพลงท่านนักฟังก็คงจะทราบกันดี แต่บางเพลง เอาแต่ทำนองให้เร้าใจ เนื้อร้องจะเป็นยังไง ไม่คำนึง ผมบังเอิญเปิดไปได้ยินเข้า เป็นเพลงเมียน้อยร้องให้ผัวที่มีเมียหลวงแล้วฟัง

" อย่ามาหาน้องบ่อยนะคะ เดี๋ยวเมียจะว่า ...!"
เนื้อร้องยังมีต่ออีกยาว ใจความจับได้ว่า ห้ามไม่ให้ผัวที่มีเมียหลวงอยู่แล้วนั้นมาหาบ่อย ๆ กลัวเมียใหญ่เขาจะว่า เรียกว่าเกรงใจเมียหลวง ว่ายังงั้น ซึ่งมันออกจะผิดธรรมดาสำหรับคนที่มีเมียน้อยอยู่สักหน่อย ทำให้ผมออกจะเห็นใจ และถ้าเมียใหญ่เกิดมาได้ยินเสียงร้องนี้เข้าก็อาจจะเห็นใจไปด้วย อนุญาตให้ผัวไปหาได้บ่อยเข้าก็อาจเป็นได้

ผมก็ไม่ทราบว่า คณะกรรมการ กบว. ท่านปล่อยเพลงอย่างนี้ออกอากาศมาได้ยังไง ...?

ความวิบัติของภาษาที่เป็นไปเพราะความอะไรก็ไม่รู้ของคณะกรรมการควบคุมอะไรต่ออะไรที่ตั้งกันมาให้เปรอะไปหมดนั้นก็มีอยู่ อย่าง ยาบวดหาย ทัมใจ ประสระบอแรด ยังงี้ ก็ไม่ทราบว่าท่านได้ทราบถึงความส่งเดชของท่านบ้างหรือเปล่า ก็เห็นยังปล่อยกันอยู่อย่างนั้น จนภาษาจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว

ยังสบายกันดีอยู่หรือครับท่าน ...?

เฮ้อ! เขียนไปแล้วก็ละเหี่ยใจ ว่าจะเขียนเรื่องเบา ๆ ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องหนักไปได้ก็ไม่ทราบ

***

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 10

เรื่อง ภาษาวิบัติ
(เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2525)

ผมว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้นานมาแล้ว แต่ก็ยังอดใจเอาไว้ คอยดูว่าอะไร ๆ จะดีขึ้นบ้างหรือเปล่า มันก็ยังเปล่าอยู่นั่น เลยต้องเขียน

ผมไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ และความเชี่ยวชาญทางด้านภาษานั้นยิ่งแล้วใหญ่ ที่ผมเขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ก็สะกดการันต์ผิดบ่อย ๆ ช่างเรียงหรือคนอ่านปรู๊ฟที่เขาเรียกว่า รีไรท์เตอร์ ก็ไม่รู้ ที่คอยแก้คำสะกดการันต์ของผมอยู่เสมอ ๆ ผมแอบขอบใจอยู่เงียบ ๆ มานานแล้ว และทั้ง ๆ ที่จดจำเอาไว้อย่างนี้ก็ยังหลายหน ไม่วายที่จะเขียนผิดอีก ถ้าสมัยเป็นนักเรียนก็คงจะถูกครูให้เขียนคำที่สะกดผิดไม่รู้ว่ากี่ร้อยหนแล้ว

แต่เรื่องภาษาพูดนี่ ผมพิถีพิถันมาก ตัวกล้ำด้วย ร. ล. ผมไม่ยอมให้ผิด ฉะนั้น คำว่า ปัปปุงเปี่ยนแปง จะไม่มีหลุดออกจากปากผม ผมเคยดูในจอโทรทัศน์และได้พบได้ยินบ่อย ๆ ที่ดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงบางคน พูดภาษาวิบัติให้ได้ยิน ดาราหนังคนหนึ่งไปถ่ายโฆษณาให้ทางราชการเสียด้วย เรื่องประหยัดไฟนี่แหละครับ เรียกร้องให้คนช่วยกันดับไฟฟ้า เพราะว่าเวลานี้พลังงานนี้กำลัง ขาดแคน ให้ช่วยกันดับไฟก่อนที่จะไม่มีไฟให้ดับ

ผมเป็นห่วงเด็ก ๆ ที่นั่งดูอยู่หน้าจอโทรทัศน์มันจะจำเอาไปพูด อนาคตภาษาจะวิบัติไปตามๆ กัน

ยิ่งรายการโฆษณาผงซักฟอกอะไรนั่น ชนิดที่เป็น ปาลามาจารย์จริง ๆ นะคะ นั่นแหละ อยากจะออกชื่อผงซักฟอกนั่นเหมือนกัน แต่จะกลายเป็นการช่วยเขาโฆษณาไปด้วย คุณผู้หญิงที่คุยอยู่กับท่านผู้ชมทางจอนั้น แกว่า ผงซักฟอกที่ว่านี่น่ะ ปับปุงใหม่ กิ่นสะอาด

ไอ้ฟังนะฟังรู้อยู่หรอกว่ามันเป็นอะไร เด็ก ๆ ที่นั่งล้อมจอโทรทัศน์อยู่นั่นซิครับ มันจะจำไป ปับปุง และก็ ดมกื่น กันต่อ ๆ กันไป สังเกตบ้างไหมครับว่า เดี๋ยวนี้คุณจะได้ยินคนพูดภาษาวิบัติในที่ทั่ว ๆ ไป ตามตลาดหรือท้องถนนน่ะช่างเถอะ เพราะพูดแล้วก็แล้วไป แต่ในจอโทรทัศน์นี่ มันไม่น่าจะให้มีออกมาให้คนฟัง เห็นเขาว่ามีคณะกรรมการควบคุมวิทยุและโทรทัศน์อยู่ ที่เรียกว่า กบร. นะ ท่านเคยได้สังเกตบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือเรื่องภาษานี้เขาไม่ควบคุมกัน มันจะวิบัติอย่างไร ช่างมัน หรือยังไง..?

เรื่องการพูดของคนนี่ บางคนหัดยังไงก็ไม่หาย มันจะออกมาเป็น ปับปุงเปี่ยนแปง ถ้าไม่พยายามแก้ พูดทีไรมันก็ออกยังงั้นทุกที จนเจ้าตัวติดเป็นนิสัย แก้ไม่หาย

เรื่องแก้ไม่หายนี่ เรื่องพูดติดอ่างอีกเรื่องหนึ่ง ผมเคยได้ยินคนเป็นอ่างสองคนคุยกัน เหนื่อยแทน เพราะกว่าเขาจะรู้เรื่องกัน ก็อ้าปากค้างเสียหลายตอน เรื่องที่ควรจะรู้กันในหนึ่งนาที ก็ต้องคุยกันถึงห้านาที หรือบางทีก็นานกว่านั้น แล้วคนติดอ่างนี่ เขาว่าอย่าไปล้อเข้า จะเป็นเอง ติดไปด้วย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชอบล้อเพื่อนที่ติดอ่างอย่างว่า เดี๋ยวนี้หมอนั่นกลับพูดติดอ่างหนักกว่าคนที่มันล้อไปอีก

มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า บุรุษสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินมาหา แล้วถามทางไปหัวลำโพง

" ปะ ปะ ไป หัว หัวละ ลำ ลำ โพง ปะ ไปทะ ทาง หะ ไหน ครับ "

คนที่ถูกถามยืนนิ่งเฉยไม่ยอมตอบ จนคนถามเดินเลยไป เพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้วยจึงถามเพื่อนว่า

" มึงไม่รู้หรือวะว่าไปหัวลำโพงไปทางไหน ไอ้กูก็ไม่รู้เสียด้วย จะบอกเขาแทนมึงก็ไม่ได้ "

" กะ กะ กู มะ ไม่ กะ ก้า พะ พูด โว้ย " เพื่อนที่ถูกถามตอบยังงี้

ก็ไม่รู้ว่าถ้าแกตอบออกมา อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

นี่จะอนุโลมเป็นภาษาวิบัติได้หรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบ วานผู้รู้ช่วยบอกที

***

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 9

เรื่อง ผู้ไม่หวังดี (เขียนเมื่อ พ.ศ. 2525)

พักนี้ถ้าท่านเปิดวิทยุฟังในภาคข่าวหรือท้ายภาคข่าว หรืออ่านหนังสือพิมพ์ที่ออกคำสัมภาษณ์ของท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการราชการ ท่านก็จะได้ยินและได้อ่านรู้ถึงคำว่า ' ผู้ไม่หวังดี ' อยู่บ่อย ๆ

ผู้ไม่หวังดีผู้นี้ทำอะไรไว้หลายอย่าง เช่น เที่ยวเอาลูกระเบิดไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ที่ห้องน้ำของสถานที่ราชการบ้าง ตามข้างถนนบ้าง และนอกจากจะชอบเอาลูกระเบิดไปวางทิ้ง ๆ ไว้แล้ว ผู้ไม่หวังดีผู้นี้ยังชอบเที่ยวเอาข่าวลือไปพูดตามที่ต่าง ๆ จนผู้คนขวัญหนีดีฝ่อ เช่นว่า จะเกิดปฎิวัติวันนั้นวันนี้แล้วก็ไม่เกิดจริง หรือเกือบจะเกิด แต่คนที่จะทำให้เกิด เกิดคิดได้ว่าจะเป็นไปตามคำของผู้ไม่หวังดีเอาจริง ๆ ก็เลยงดเสีย อาจรอจนกว่าผู้ที่ไม่หวังดีลืม ๆ ปล่อยข่าวเสียก่อน ถึงจะเอาจริงก็เป็นได้

ผู้ที่ไม่หวังดีจึงเป็นตัวลึกลับอยู่จนบัดนี้ จะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ไม่อาจยืนยันได้ ทั้งทางราชการและทางชาวบ้าน แต่พอแกออกมาปล่อยข่าวลือหรือแอบเอาอะไร ๆ ไปวาง ๆ ไว้ตามที่ต่าง ๆ ชาวบ้านก็ต้องผวาทุกทีไป ส่วนทางราชการนั้นก็ต้องตามชึ้แจงให้ชาวบ้านรับทราบอยู่จนชินหู

ผู้ที่ไม่หวังดีนี้จะเป็นผู้หวังร้ายด้วยหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ เพราะถ้าไม่หวังดีแล้ว ยังหวังร้ายอีกด้วย ก็น่ากลัว แต่ถ้าไม่หวังดีเฉย ๆ ไม่หวังร้าย ก็ยังพอทำเนา ทางราชการยังไม่ได้แถลงความอันนี้ออกมาให้แจ่มแจ้ง น่าที่จะแถลงออกมาให้ชาวบ้านหายสงสัย จะได้วางตัวถูกว่า จะนอนผวาหรือไม่ต้องนอนผวา

ผมก็มีผู้ไม่หวังดีเหมือนกัน ผู้นั้นคือผู้ที่ผมไปขอยืมเงินแล้วไม่ให้ กลัวว่าผมจะไม่ใช้ ผู้นั้นก็จัดว่าเป็นผู้ไม่หวังดีของผม แต่ก็คงจะไม่ถึงหวังร้าย เพราะไม่ต้องหวังร้ายกับผม ๆ ก็ต้องหน้าแห้งไปเอง กว่าผมจะบากหน้า (ความจริงไม่ได้เอาอะไรมาบากที่ใบหน้าจริง ๆ หรอก) ไปหาผู้ที่หวังดีที่จะให้ผมยืมเงินด้วยความกล้าหาญได้ ผมก็ต้องใช้ความพยายามเสาะแสวงหามากอยู่กว่าจะพบพาน แล้วได้เงินมาตามคำขอ (ยืม)

ฉะนั้น ผู้ที่ไม่ยอมให้ผมยืมเงินก็ต้องนับว่าเป็นผู้ไม่หวังดีได้ และอาจจะเป็นผู้หวังร้ายไปโดยอัตโนมัติ ถ้าผมมีอันเป็นต้องอดตายไป

ผู้ที่ไม่หวังดีกับผมยังมีอีกหลายผู้ อย่างผู้ที่เล่นไพ่กับผมแล้วไม่ยอมทิ้งให้ผมกิน ชอบกักไพ่ตัวที่ผมอยากได้ หรือเวลาเล่นโป๊กเกอร์ แล้วไพ่ในมือของผมมันไม่เอาไหน การที่จะให้ได้เงินกองกลางมาก็ต้องหลอกเขาว่า ไพ่ของผมเหนือกว่าเขา พอผมหลอกออกไป เขาก็ไม่เชื่อ ร้องขอดูลูกเดียว นอกจากผมจะไม่ได้เงินกองกลางแล้ว ผมยังต้องเสียเงินที่กองอยู่ตรงหน้าผมให้เขาไปอีก อย่างนี้ก็นับว่าเป็นผู้ไม่หวังดีกับผมได้เต็มประตู

ฉะนั้น ผู้ที่ไม่หวังดีนี้จึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ วันหนึ่งเขาอาจไม่ใช่ผู้ที่ไม่หวังดี แล้วก็กลับมาเป็นผู้ที่หวังดีในอีกวันหนึ่งก็ได้ ไม่ตายตัวลงไป ผู้ที่ไม่หวังดีจึงมีหน้าตาแปลก ๆ กันไป แล้วแต่วันเวลาโอกาสและสถานที่ ผู้ที่ไม่หวังดีของทางราชการ อาจจะเป็นผู้หวังดีของอีกฝ่ายหนึ่ง และในขณะเดียวกันนั้น ฝ่ายนั้นก็จะต้องถือว่า ทางราชการคือผู้ที่ไม่หวังดีของเขา เขาก็ต้องพยายามเอาลูกระเบิดมาวางให้มันระเบิดให้ได้ เพื่อเป็นการทำลายภาพพจน์ของทางราชการ ซึ่งเขาถือว่าเป็นผู้ที่ไม่หวังดีของพวกเขา

ผู้ร้ายก็ต้องถือว่าตำรวจเป็นผู้ที่ไม่หวังดี เพราะคอยที่จะทำลายจับกุมคุมขังพวกเขาอยู่เรื่อย ตำรวจก็จะถือว่า บุคคลที่ไม่ยอมจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้นั้น คือผู้ไม่หวังดีของเขา เพราะจะทำให้เขาขาดรายได้อันควรมีควรได้เหมือนตำรวจคนอื่น ๆ ไป และถ้าผู้บังคับบัญชาจับได้ เอาตัวไปลงโทษ ผู้บังคับบัญชาคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่หวังดีต่อเขา ถึงจะเป็นนายแต่ก็เป็นตำรวจด้วยกัน ทำไมไม่หวังดีต่อกันโดยทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย

คำว่า ' ผู้ที่ไม่หวังดี ' นี้กว้างมาก จะเรียกว่าเป็นคนกว้างขวางก็ยังได้ และมักจะเป็นผู้ที่ทางราชการชอบอ้างอิงถึง ในเมื่อควานหาตัวการไม่ได้ ไม่รู้จะเอายังไง ก็โยนไปให้เป็นการกระทำของผู้ที่ไม่หวังดีเสียก็แล้วกัน ให้ชาวบ้านไปคิดกันเอาเองว่าเป็นใคร

ผมก็ชักจะเป็นผู้ที่ไม่หวังดีต่อท่านผู้อ่านเข้าให้แล้วเหมือนกัน เพราะเขียน ๆ ไปชักจะอ่านไม่รู้เรื่อง ยังความเวียนศีรษะให้ท่านผู้อ่าน รวมทั้งตัวผมด้วยเอง ประเดี๋ยวผมจะไปยืนที่หน้ากระจก แล้วเรียกตัวผมเองว่า
" แกมันเป็นผู้ที่ไม่หวังดี "

***

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 8

เรื่อง เรื่องของคน

" เฮ้ย มึงเคยมีเมียน้อยไหมวะ " ไอ้เพื่อนของผมคนหนึ่งจู่ ๆ มันก็ใช้คำถามนี้เอากับผม
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ กว่าจะนึกออกว่าจะตอบมันยังไง
" เรื่องอะไรกูจะต้องบอกมึง แล้วก็มึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม "
" อยากรู้ว่า ถ้ามึงมี มึงจะเหมือนกูไหม " มันว่า แล้วมันก็ทำท่านึกทวนความจำ " มึงกะกูนี่ ไม่ได้พบกันมากี่ปีแล้ว " มันนึกอยู่อีกครู่หนึ่งก็นึกออก " สิบสี่ปีเข้าไปแล้วละมั้ง "
" เออ แล้วยังไง " มันกับผมไม่ได้พบกันราว ๆ นั้นจริง ๆ มันโผล่มากรุงเทพ ฯ ครั้งนี้มันแปลก
" สิบสี่ปีที่กูไม่ได้พบมึง กูมีเมียน้อยถึงสี่คน " มันเล่า
" เออ มึงก็เก่ง "
" เก่งห่... อะไรวะ " มันยันตัวตรงก่อนลั่นผรุสวาทออกมา " เดี๋ยวนี้ กูไม่เหลือซักคน "
" อ้าว " ผมร้องออกมาได้แค่นั้น
" มามีเรื่องเอาไอ้คนที่สี่นี่เอง กูเพิ่งจะรู้ว่า การมีเมียน้อยมันก็ต้องมีศิลปะ " มันก้มหน้าครุ่นคิด
" ทำไม เมียมึงจับได้งั้นเหรอ " ผมชักเห็นใจมัน
" ไม่ใช่ยังงั้น เมียเอกกูนะเหรอ " มันว่า " ยังกะแม่พระ กูจะไปมาลีทองที่ไหน ไม่เคยยุ่งกะกู ไอ้คนที่สี่นี่แหละที่มันยุ่งที่สุด "
" มึงเล่ามาดีกว่า " ผมตัดบท " กูขี้เกียจซัก มีอะไรอยากเล่า เล่าไป กูจะฟัง แล้วออกความเห็นทีหลัง "
" กูมีคนที่หนึ่งก็เรียบร้อยดี อีกสามปีกูมีอีกคนก็ยังเรียบร้อยดี ไม่มีใครยุ่งกับใคร ต่างคนต่างอยู่ กูให้กินให้อยู่ให้ใช้ ตามควรแต่อัตภาพทุกคน มาอีกสองปี กูก็มีอีกคน ก็ยังเรียบร้อยดี ต่างคนต่างแยกกันอยู่คนละทิศ ไม่มีอะไรยุ่งหัวใจ อีกสามปีกูก็มาได้คนที่สี่ " มันหยุดพูดเมื่อถึงตอนนี้แล้วถอนหายใจเฮือก
" ก็ดีนี่หว่า " ผมว่า " มึงเก่ง แล้วมึงปกครองเขาได้ยังไง "
" กูไม่ต้องปกครอง ไอ้คนที่สี่นี่เขาจัดการเสร็จ "
" อ้าว ก็ยิ่งดีใหญ่ มึงไม่ต้องยุ่ง หาความสุขทางกามอย่างเดียว "
" ดีกะผีอะไร " มันถอนหายใจอีกเฮือกก่อนจะพูด " ไอ้คนที่สี่นี่มันอาละวาด ไล่ไปทีละคน จนเหลือมันคนเดียว ชั่วระยะเวลาที่มาอยู่กับกูไม่ถึงปี "
" อ้าว ถ้ายังงั้นเขาก็เก่งกว่ามึง เขาคงรักมึงจริง "
" รักกูเรอะ " มันคำราม " ตั้งแต่ได้ไอ้คนที่สี่นี้ กูกับมึงก็ไม่ได้พบกัน กูต้องไปหากินตัวเป็นเกลียว เลี้ยงเมียอีกสี่คน ยิ่งกูมีเงิน เมียกูแต่ละคนก็ถูกไล่ไปทีละคน ๆ จนเหลือไอ้คนที่สี่นี้คนเดียว มันอาละวาดหนีไปหมด "
" นั่นแหละ แสดงว่าเขารักมึงจริง ต้องการอยู่กับมึงคนเดียว "
" ตอนนี้กูยังหาได้ขายคล่อง ก็ยังไม่เป้นไร ตอนนี้มึงก็รู้อยู่ว่ากูหมดตัว แพ้ความเขา เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง มันก็แสดงความรักกูออกมา มันไล่กูออกจากบ้านโว้ย "
" อ้าว " ผมร้องออกมาได้คำเดียวอีก
" มันว่า มันจะไปมีผัวใหม่ให้ดีกว่ากู อยู่กับกูไม่มีความก้าวหน้า มันว่ายังงั้น มันชอบความก้าวหน้า มันเบื่อกู กูอยู่ก็เกะกะมัน "
" เขาก็พูดถูก คนเราต้องหวังความก้าวหน้า "
" อยู่กับกูมาจนป่านนี้ มันก็ก้าวหน้ามาเยอะแล้ว " มันเถียง
" มึงมันอยู่กับที่แล้ว เขาจะก้าวหน้าต่อไป มึงก็ต้องหลีกทางให้เขา ตัดใจเสียเถอะวะ " ผมให้สติมัน"
" กูกลุ้มโว้ย " มันส่ายหน้าช้า ๆ " กลุ้มจริง ๆ "
" กลุ้มเรื่องเมียน้อยนี่นะเหรอ มึงก็บ้า " ผมเตือนสติมัน
" ค่าไฟฟ้าโว้ย " มันตะโกน " กูกลุ้มเรื่องค่าไฟฟ้า มันดันขึ้นราคาไปอีก เห็นบิลแล้วกูจะช๊อค "
ผมนิ่ง หาคำพูดยังไม่ได้ ได้แต่มั่งมองดูมัน
" กูไปละ " มันว่า แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเฉย ๆ
จนบัดนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันไปหาบ้านอยู่ใหม่ หรือไปหาเงินมาเสียค่าไฟฟ้า

***






วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 7

เรื่อง อาทิตย์เบา ๆ


ที่พาดหัวเอาไว้นี้ ไม่ใช่จะเตือนใครให้เบา ๆ เป็นชื่อเรื่องหมายถึงอาทิตย์ที่มาอ่านเรื่องเบา ๆ กันดีกว่า ถึงอาทิตย์ทีก็ควรจะผ่อนความตีงเครียดของสมองที่หนักอึ้งมาตลอดหกวันเสียที เรื่องเบา ๆ วันนี้เก็บตกเอามาจากนิตยสารภาษาฝรั่งฉบับหนึ่ง เห็นว่าคนไทยพอฟังให้เบา ๆ สมองได้ ก็ดัดแปลงของเขามาให้อ่านกัน


ก่อนอื่น คุณเคยรู้จักการเต้นรำของชาวอเมริกาใต้ โดยเฉพาะชาวบราซิลชอบเต้นไหม ที่เขาเรีนกว่า ลิมโบ้ เป็นการเต้นรำที่มีไม้ขวาง เหมือนไม้ขวางสำหรับกระโดดสูงพาดไว้กับเสาเล็ก ๆ สองอันนั่นแหละ แล้วคนเต้นก็ค่อยหงายหลังลงไป แต่มือไม่แตะพื้น ใช้กำลังขาพับเข่าค่อย ๆ เขยิบตัวเข้าไปลอดไม้ขวางนั้น แล้วก็ลดไม้พาดลงมาให้ต่ำลง ทุกครั้งที่คนเต้นลอดไม้ไปได้โดยไม่สัมผัสไม้พาดนั้น จนถึงขั้นต่ำที่สุดเกือบจะเรี่ยดิน ชนิดหลังคนที่กระดึบกระดึบลอดไปนั้น เกีอบติดดิน เรียกว่า ลิมโบ้ (Limbo)

แล้วก็คุณเคยรู้จักนิสัยของชาวสก๊อตไหม คือชาวสก๊อตนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้เหนียวที่สุดในโลก ชนิดที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร และถ้ามีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินได้เป็นไม่ละเว้นโอกาสนั้น

ทีนี้ก็ต้องรู้ด้วยว่าในเมืองฝรั่งนั้น ห้องน้ำสาธารณะ เวลาใครจะเข้าไปใช้ ก็จะต้องหยอดเงินประตูห้องซึ่งเป็นบานพับ มีช่องลอดอยู่ข้างใต้เพียงไม่กี่เซ็นติเมตรจึงจะเปิดได้ ถ้าไม่หยอดเงิน ประตูบารนั้นก็จะเปิดไม่ได้ จะลอดช่องนั้นเข้าไปแสนยาก

ไอ้จังหวะเต้นระบำลิมโบ้นี่แหละ เขาว่ากันว่า เป็นจังหวะที่ชาวสก๊อตคิดค้นขึ้นมาเพื่อลอดเข้าห้องน้ำสาธารณะโดยไม่ต้องหยอดเงิน นิตยสารฉบับนั้นเขาว่า
ยังงั้น


อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องของครูสาวกับลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ ในโรงเรียนชั้นประถมโรงเรียนหนึ่ง และวันนั้นเป็นวันแรกที่เธอเข้าไปทดลองสอนในห้องชั้นประถมสอง อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนก็เข้าไปดูการสอนของเธอถึงในห้องเรียน ครูสาวก็รายงานว่า

" อาจารย์คะ อาจารย์ดูเด็กคนที่นั่งอยู่แถวหน้าคนที่สองนั่นซีคะ แกไม่ควรจะอยู่ชั้นประถมสองนี่อีก แกฉลาดมาก ดิฉันเห็นควรจะส่งแกขึ้นไปเรียนชั้นประถมสามจะดีกว่า "
" จะฉลาดอะไรนักเชียว " อาจารย์ฉงน " ไหน ลองเรียกแกออกมา แล้วตั้งคำถามอะไรที่ยาก ๆ ให้แกตอบดูถี ผมอยากฟัง "

ครูสาวคนนั้นเรียกเด็กชายคนนั้นออกมาหน้าชั้น แล้วตั้งคำถาม
" อะไรที่สุนัขปฏิบัติด้วยการใช้ขาสามขายันพื้น ยกขาข้างหนึ่งขึ้น และผู้ชายใช้สองขายันพื้น ส่วนผู้หญิงต้องย่อตัวลง "
" จับมือ เช็คแฮนด์ ครับ "

" อะไรที่แม่วัวมีอยู่สี่ แต่ครูมีเพียงสอง " ครูถามต่อ
" ขาครับ " เด็กตอบ

" คำอะไรที่เป็นคำ ๆ เดียว แต่มีสองพยางค์ ซึ่งหมายถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย " ครูสาวปล่อยคำถามออกมาอีก
" มิตรภาพ ครับ " เด็กตอบอย่างฉะฉาน

ครูสาวหันมาทางอาจารย์ใหญ่ " เห็นไหมคะ จะให้ดิฉันทำอย่างไรกับแก "

อาจารย์ใหญ่ดึงตัวครูสาวเข้ามาใกล้ ๆ กระซิบที่หูเบา ๆ
" ผมว่า เลื่อนแกขึ้นไปประถมสี่ได้เลย ไอ้ที่คุณถามแกทั้งสามข้อนั่นน่ะ ผมตอบผิดหมด "

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 6

เรื่อง หญิงสามผัว - ชายสามโบสถ์

คำพังเพยอันนี้จะมีมาแต่เมื่อใดไม่ทราบ ตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ก็ได้ยินเสียแล้ว คงจะมีมาแต่โบราณกาลโน่น ผมหันรีหันขวางเพราะโดนเร่งต้นฉบับจากกองบรรณาธิการ เลยคว้าเอาคำพังเพยนี้มาเขียนแก้ขัดไป อย่าอ่านให้เป็นเรื่องจริงจัง และไม่ได้ตั้งใจแขวะใคร

ชายสามโบสถ์นั้น โบราณถือกันว่าคบไม่ได้ ก็คงจะบวชแล้วอยู่โบสถ์ไหนก็ไม่เป็นสุข ต้องเปลี่ยนโบสถ์เรื่อยไป คงจะไม่ค่อยจะลงโบสถ์กับพระรูปอื่น ๆ เขา เปลี่ยนไปได้เพียงสามโบสถ์ก็คบไม่ได้เสียแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงโบสถ์ที่สี่ที่ห้าให้เสียเวลา ตัดสินกันที่โบสถ์ที่สามนี้เลย

สมัยเก่า เกิดมาเป็นลูกผู้ชายต้องบวชให้พ่อแม่เห็นชายผ้าเหลือง ว่ากันว่ายังงั้น มิฉะนั้นจะถือว่ายังเป็นคนดิบอยู่ มีเมียยังไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันได้ยังไง คนสมัยเก่าจึงได้มีเมียกันตั้งแต่อายุยังหนุ่ม ๆ เพราะพอสึกออกมาก็ทนไม่ไหว ต้องหาเมีย บวชแล้วก็ต้องเบียดให้มันคล้องจองกันไป บางคนบวชไม่ยอมสึก หนีทหารก็มี เพราะราชการทหารจะไม่ไปกวนพระสงฆ์องค์เจ้ามาเป็นทหาร แต่ถ้าบวชแล้วย้ายโบสถ์ถึงสามก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเพียงสองโบสถ์จะถือว่ายังไม่เป็นไรหรือเปล่า โบราณไม่เห็นบอกไว้ หรือว่าถ้าไปถึงสี่-ห้าโบสถ์จะเป็นยังไง ก็ไม่บอกไว้อีก คงถือว่าเพียงสามโบสถ์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว ถ้าถึงสี่-ห้าก็ช่างมันเหอะ

ผู้หญิงสามผัวนี่จะหมายถึงมีทีเดียวสามผัว โดยผัวทั้งสามยังอยู่พร้อมหน้ากันหรือไม่ก็ไม่ทราบอีก หรือว่ามีสามผัวแต่อยู่ผัวละบ้าน หรือว่าย้ายผัวไปมีทีละผัวถึงสาม โดยที่ผัวคนแรกและคนที่สองยังเห็น ๆ หน้ากันอยู่ก็ไม่ทราบอีก แต่ถ้าผัวที่หนึ่งตายแล้วมีผัวที่สอง ผัวที่สองเกิดตายไปอีกแล้วมีผัวที่สาม อย่างนี้ก็คงไม่ผิดกติกา จะให้เขาอยู่เดียวดายยังไงคนเดียว เหงาแย่ ไม่มีคนกวนใจ

ผู้หญิงไทยสมัยเก่าเป็นผู้ที่ต้องรักนวลสงวนตัว อยากมีผัวใจจะขาดก็บอกใครไม่ได้ ไอ้หนุ่มต้องทำหน้าที่ไปติดต่อขอกับพ่อแม่เอาเอง ผู้หญิงบางคนจึงต้องอยู่เป็นสาวทึนทึกไปก็ด้วยเหตุนี้ บางคนอยู่จนอายุมากก็ไม่ยอมแต่งงาน พอมาแต่งเอาอายุที่เป็นทึนทึกอย่างว่าแล้ว ได้แต่รำพึงว่า " รู้ยังงี้แต่งเสียตั้งแต่ยังสาวก๊อดี เสียดาย "

ไม่ทราบว่าเสียดายอะไร

สู้ผู้หญิงแขกไม่ได้ ชอบใจผู้ชายคนไหน แม่ไปขอเอามาทำผัวเสียเลย ที่เมืองแขกผู้หญิงมีหน้าที่ต้องไปขอผู้ชาย มันกลับกันอย่างนี้ ทีนี้ไอ้หนุ่มคนไหนเมียง ๆ มอง ๆ ชอบผู้หญิงอยู่ อยากจะไปขอกับพ่อแม่ผู้หญิงก็ทำไม่ได้ ต้องส่งซิกให้ผู้หญิงมาขอ ถ้าไปเจอเอาผู้หญิงไม่รู้ซิกเข้าก็ต้องเหี่ยวแห้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ผู้ชายแขกต้องหันไปชอบผู้ชายแขกด้วยกัน พูดกันรู้เรื่องดี แล้วรสชาติมันก็คงจะพอ ๆ กันอีตอนนั้น ผู้ชายแขกจึงถนัดนักเรื่องพรรค์นี้

อันนี้ผมไม่ทราบ เดาเอายังงั้นเอง

ผู้หญิงไทยสมัยเก่าจึงต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้ให้แนบเนียน ไม่งั้นเขาว่าไม่เป็นกุลสตรี จะหาผัวยากเข้าไปอีก แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีผู้หญิงอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่แคร์ ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นผู้หญิงที่ผ่านอะไรต่ออะไรมาโชกโชน แล้วทนความเรียกร้องของธรรมชาติไม่ไหว ก็ต้องดิ้นรนหาผู้ชาย ใครจะว่าเป็นผู้หญิงกี่ผัวก็ช่าง ไม่หนักที่ใส่หมวกของใคร

ผู้หญิงฝรั่งน่ะไม่ต้องไปพูดถึง ไปกันไกลแล้ว บางคนก่อนที่จะมีผัวเป็นตัวตน แม่ก็ต้องทดลองกันเสียจนรสนิยมต้องกันถึงจะแต่งงานกัน เพราะแต่งกันไปแล้วเลิกยาก ถ้าบังเอิญรสนิยมบนเตียงเกิดขัดกันเข้า ผู้หญิงไทยนั้นจะประพฤติอย่างนั้นไม่ได้ สังคมไม่นิยมนับถือ ถ้าไปทำเข้าคนเขาก็ตั้งชื่อให้เป็นดอกไม้อย่างหนึ่งซึ่งมีราคาเป็นทอง

แต่เดี๋ยวนี้เข้ายุคกระสวยอวกาศ ผู้หญิงไทยชักจะก้าวหน้ากันไปมั่งแล้ว ขนาดเปลี่ยนผัวเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าหล่อนก็มีเหตุผลของเจ้าหล่อนว่า ใครจะทำไม ฉันไม่ได้ไป ... กันบนหัวใคร เวลาฉันปวดหัวใครจะมาช่วยฉันให้หายปวดได้ นี่ก็เห็น ๆ กันอยู่แยะในสังคมไทยทั้งชั้นสูงและชั้นไหน ๆ

สมัยนี้คำพังเพยที่ว่า หญิงสามผัว คบไม่ได้นั้น จึงใช้ไม่ได้ ยิ่งเป็นหญิงมีเงินด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ใช้เงินซื้อผัวเอาเลยทีเดียว จะกี่คนก็แล้วแต่กำลังเงิน ไม่มีใครในสังคมถือสา มีเงินซะอย่าง แต่ผู้ชายสามโบสถ์ ธรรมเนียบไทยยังถืออยู่ว่า คบไม่ได้ คำว่าโบสถ์นี้ก็ไม่หมายความเฉพาะที่เป็นโบสถ์ในวัดจริง ๆ เพียงแต่เปลี่ยนพรรคบ่อย ๆ ก็เข้าหลักแล้ว ถือว่าเป็นคนโลเล แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีเงินก็ยังถือว่าคบได้ แต่จะคบกันจริงใจแค่ไหนนั้น อีกเรื่องหนึ่ง

ขอโทษที ต้องจบเหอะ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ บอกว่าให้อ่านกันเป็นเรื่องเบา ๆ สมอง อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมัน คิดเสียว่าไม่ใช่เรื่องของเราก็แล้วกัน

อมิตพุทธ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 5

เรื่อง อะไรกันวะ

ขึ้นไตเติ้ลเสียดุดัน ความจริงเนื้อในไม่ดุอะไรหรอกครับ ขึ้นหัวเรื่องให้มันตื่นเต้นไปยังงั้นเอง เนื้อในอ่านแล้วก็ต้องร้องว่า " อะไรกันวะ " ก็เท่านั้นเอง อ่านดูก็แล้วกัน

วันอาทิตย์เบา ๆ ก็อ่านเรื่องเบา ๆ กันเสียบ้าง ทำเรื่องหนักให้เป็นเรื่องเบาได้เมื่อไร คุณก็จะไม่เป็นโรคประสาท มองดูอะไร ๆ ก็เป็นเรื่องเล็กไปหมด ประสาทมันไม่กล้ามากิน

คุณ ๆ ได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ฉบับวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ที่ผ่านมานี้หรือเปล่า วันวาเลนไทน์ หรื่อวันแห่งความรักนั้นนั่นแหละครับ

เนื้อข่าวเอากันอย่างย่อ ๆ เขาว่ายังงี้

แขกคูเวตคนหนึ่งได้หมอนวดสาวคนหนึ่งมาจากโรงนวดโรงหนึ่ง เหมากันไปเลยสามวันสามคืนในสนนราคาสองพันบาท คูเวตซะอย่าง น้ำมันไหลนาทีละสามร้อยเหรียญ เขาว่ากันอย่างนั้น สามวันสามคืนสองพันบาทก็เรื่องขี้ผง คุณหมดนวดเราก็ประสบโชคไป สนุกไปด้วยได้เงินด้วย หาได้ง่าย ๆ ที่ไหน หมดนวดตามโรงอาบ-อบ-นวดก็ต้องเป็นผู้หญิง และก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า นวดแล้วก็ยังนาบได้ แล้วนาบกับแขกคูเวตมันสนุนกว่าแขกไทย ๆ แน่ ๆ แขกคูเวตตามข่าวเขาว่ามันเก่งกาจ สามวันสามคืนมันนาบไปได้ ๑๕ ที เฉลี่ยแล้ววันละ ๕ ก็คงคุ้มแล้วสำหรับเงินสองพันบาท ทีนี้มันไม่ยังงั้น แขกก็คือแขก รักษาภาษิตไว้ได้เหมือนกันทุกคน คือที่ว่า ถ้าเจองูกับแขก ให้ตีแขกก่อน รายนี้ก็เหมือนแขกรายอื่น ได้ทางข้างหน้า ๑๕ แล้วก็ขอแถมข้างหลังอีกหนึ่ง

หมดนวดไทยไม่เคย เพราะรู้แต่เพียงว่า ช่องทางข้างหลังนั้นเอาไว้ถ่ายอุจจาระอย่างเดียว ไม่ใช่เอาอะไรใส่เข้าไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายไทยบางคนเขารู้ว่าใส่เข้าไปได้ เพราะข้างหน้าไม่มีทางให้ใส่ แต่นี่เป็นผู้หญิงที่ถึงจะเป็นหมดนวดก็ยังมีศักดิ์ศรี แกก็ไม่ยอมให้แขกเล่นพิสดาร ไม่ได้กลับบ้านกลับช่องตั้งสามวันแล้ว และโดนนาบไปแล้วตั้ง ๑๕ ที ก็บอกว่าขอกลับบ้านละ ขอเงินสองพันที่ตกลงกันไว้ แขกก็บอกว่า " อีนี่ ไม่ได้แถมข้างหลัง เอาไปสามร้อยซี ถ้าไม่ให้ฉันใช้ของดีใส่เข้าไปข้างหลังก็เอาตีนไป " ว่าแล้วแขกก็เตะก้นไปหนึ่งที เรื่องก็ถึงตำรวจ เพราะอีสาวร้องให้บ๋อยไปตามตำรวจ แขกก็ต้องไปโรงพัก

ถึงโรงพัก หมดนวดก็ยังยืนยันขอสองพันบาทให้ได้ แขกก็ยืนยันจะให้สามร้อยให้ได้ เถียงกันไปเถียงกันมาบนโรงพักต่อหน้านายตำรวจเวรซึ่งผมจะไม่เอ่ยชื่อ เพราะท่านเป็นตำรวจที่ร่ำเรียนวิชาการตำรวจมาจากสถาบันไหนก็ไม่ทราบ ท่านตัดสินเรื่องอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อตัดสินไม่ได้ ท่านก็ตกลงใจเอาง่าย ๆ คือ ลงประ จำวันไว้ว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ก็ได้แต่ลงประจำวันไว้แล้วก็ปล่อยตัวไป ให้ไปตกลงกันเอง

อีสาวคนนั้นก็โดนนาบไป ๑๕ ที และถูกเตะฟรีไปอีกหนึ่งที นายตำรวจท่านนั้นไม่รู้จะเอากฏหมายอะไรมาเล่นงานแขก ผมถึงว่า ไม่รู้ท่านสำเร็จเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรมาจากสถาบันไหน ท่านผู้บังคับบัญชาของนายตำรวจท่านนี้ยังอยู่สบายดีกันอยู่หรือครับ ... ?

ไม่ร้องว่า " อะไรกันวะ " ก็ไม่รู้จะร้องอะไรแล้ว


เรื่องเครื่องบินญวนที่บินหลงเข้ามาตกในเมืองไทยนี่ก็เรื่องหนึ่งที่กำลังฮิต คนไทยหลายล้านคนกำลังคอยฟังกันว่า รัฐบาลจะทำยังไงกับเครื่องบินลำนั้นและคนประจำเครื่อง ทางญวนน่ะเขาขอให้ส่งคืนทั้งคนและเครื่อง แถมยังส่งกำลังมาขู่ประชิดทางชายแดนของเรา ทีนี้ผู้ใหญ่ของเราท่านหนึ่งก็มาให้สัมภาษณ์นักข่าวทางวิทยุในภาคเช้าซึ่งบังเอิญผมเปิดฟัง ผมก็จะไม่เอ่ยชื่อท่านละ ท่านบอกว่า เครื่องบินของญวนที่บินหลงทางเข้ามานั้น เข็มทิศอาจจะเสียก็ได้ จึงทำให้เขาบินหลงทางเข้ามา เข็มทิศของผม (ของผู้ใหญ่ท่านนั้น) ที่อยู่ในกระเป๋าของผมยังเคยเสียบ่อย ๆ หรือวิทยุประจำเครื่องบินอาจจะเสียก็ได้ (วิทยุทื่บ้านของท่านก็อาจจะเสียบ่อย ๆ เหมือนเข็มทิศ) ถ้าเราสอบสวนแล้ว ไม่มีอะไร ก็อาจต้องคืนให้เขาทั้งคนทั้งเครื่อง เพื่อรักษาสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนบ้าน

เพ้อไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ !

ผมฟังการให้สัมภ่ษณ์ออกอากาศของท่านเรื่องนี้แล้ว ก็อยากจะลาออกจากความเป็นคนไทยไปเป็นญวนเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ลองเครื่องบินของเราบินหลงเข้าไปในญวนดูมังถี ดูซิว่ามันจะคืนให้เราไหม มันจะตอบเราได้ง่ายกว่าเราโดยไม่ต้องคิดเสียด้วยซ้ำ ทั้งคนทั้งเครื่องออกมาจากญวนได้ก็เก่ง

ผมว่าถ้าเราจะคืนไปให้มันจริง ๆ ละก็ เอากันให้เหมาะ ๆ ไปเลย ส่งคืนให้มันพร้อมกราบมันงาม ๆ อีกด้วยสามที แล้วขอโทษมันที่แผ่นดินบ้านเรามันแข็งเกินไป จึงทำให้เครื่องบินของมันต้องพัง คนตายไปหนึ่ง บาดเจ็บอีกสอง

ไม่ร้อง " อะไรกันวะ " ก็ไม่รู้จะร้องอะไรอีกเหมือนกัน

***