จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 6

เรื่อง หญิงสามผัว - ชายสามโบสถ์

คำพังเพยอันนี้จะมีมาแต่เมื่อใดไม่ทราบ ตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ก็ได้ยินเสียแล้ว คงจะมีมาแต่โบราณกาลโน่น ผมหันรีหันขวางเพราะโดนเร่งต้นฉบับจากกองบรรณาธิการ เลยคว้าเอาคำพังเพยนี้มาเขียนแก้ขัดไป อย่าอ่านให้เป็นเรื่องจริงจัง และไม่ได้ตั้งใจแขวะใคร

ชายสามโบสถ์นั้น โบราณถือกันว่าคบไม่ได้ ก็คงจะบวชแล้วอยู่โบสถ์ไหนก็ไม่เป็นสุข ต้องเปลี่ยนโบสถ์เรื่อยไป คงจะไม่ค่อยจะลงโบสถ์กับพระรูปอื่น ๆ เขา เปลี่ยนไปได้เพียงสามโบสถ์ก็คบไม่ได้เสียแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงโบสถ์ที่สี่ที่ห้าให้เสียเวลา ตัดสินกันที่โบสถ์ที่สามนี้เลย

สมัยเก่า เกิดมาเป็นลูกผู้ชายต้องบวชให้พ่อแม่เห็นชายผ้าเหลือง ว่ากันว่ายังงั้น มิฉะนั้นจะถือว่ายังเป็นคนดิบอยู่ มีเมียยังไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันได้ยังไง คนสมัยเก่าจึงได้มีเมียกันตั้งแต่อายุยังหนุ่ม ๆ เพราะพอสึกออกมาก็ทนไม่ไหว ต้องหาเมีย บวชแล้วก็ต้องเบียดให้มันคล้องจองกันไป บางคนบวชไม่ยอมสึก หนีทหารก็มี เพราะราชการทหารจะไม่ไปกวนพระสงฆ์องค์เจ้ามาเป็นทหาร แต่ถ้าบวชแล้วย้ายโบสถ์ถึงสามก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเพียงสองโบสถ์จะถือว่ายังไม่เป็นไรหรือเปล่า โบราณไม่เห็นบอกไว้ หรือว่าถ้าไปถึงสี่-ห้าโบสถ์จะเป็นยังไง ก็ไม่บอกไว้อีก คงถือว่าเพียงสามโบสถ์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว ถ้าถึงสี่-ห้าก็ช่างมันเหอะ

ผู้หญิงสามผัวนี่จะหมายถึงมีทีเดียวสามผัว โดยผัวทั้งสามยังอยู่พร้อมหน้ากันหรือไม่ก็ไม่ทราบอีก หรือว่ามีสามผัวแต่อยู่ผัวละบ้าน หรือว่าย้ายผัวไปมีทีละผัวถึงสาม โดยที่ผัวคนแรกและคนที่สองยังเห็น ๆ หน้ากันอยู่ก็ไม่ทราบอีก แต่ถ้าผัวที่หนึ่งตายแล้วมีผัวที่สอง ผัวที่สองเกิดตายไปอีกแล้วมีผัวที่สาม อย่างนี้ก็คงไม่ผิดกติกา จะให้เขาอยู่เดียวดายยังไงคนเดียว เหงาแย่ ไม่มีคนกวนใจ

ผู้หญิงไทยสมัยเก่าเป็นผู้ที่ต้องรักนวลสงวนตัว อยากมีผัวใจจะขาดก็บอกใครไม่ได้ ไอ้หนุ่มต้องทำหน้าที่ไปติดต่อขอกับพ่อแม่เอาเอง ผู้หญิงบางคนจึงต้องอยู่เป็นสาวทึนทึกไปก็ด้วยเหตุนี้ บางคนอยู่จนอายุมากก็ไม่ยอมแต่งงาน พอมาแต่งเอาอายุที่เป็นทึนทึกอย่างว่าแล้ว ได้แต่รำพึงว่า " รู้ยังงี้แต่งเสียตั้งแต่ยังสาวก๊อดี เสียดาย "

ไม่ทราบว่าเสียดายอะไร

สู้ผู้หญิงแขกไม่ได้ ชอบใจผู้ชายคนไหน แม่ไปขอเอามาทำผัวเสียเลย ที่เมืองแขกผู้หญิงมีหน้าที่ต้องไปขอผู้ชาย มันกลับกันอย่างนี้ ทีนี้ไอ้หนุ่มคนไหนเมียง ๆ มอง ๆ ชอบผู้หญิงอยู่ อยากจะไปขอกับพ่อแม่ผู้หญิงก็ทำไม่ได้ ต้องส่งซิกให้ผู้หญิงมาขอ ถ้าไปเจอเอาผู้หญิงไม่รู้ซิกเข้าก็ต้องเหี่ยวแห้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ผู้ชายแขกต้องหันไปชอบผู้ชายแขกด้วยกัน พูดกันรู้เรื่องดี แล้วรสชาติมันก็คงจะพอ ๆ กันอีตอนนั้น ผู้ชายแขกจึงถนัดนักเรื่องพรรค์นี้

อันนี้ผมไม่ทราบ เดาเอายังงั้นเอง

ผู้หญิงไทยสมัยเก่าจึงต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้ให้แนบเนียน ไม่งั้นเขาว่าไม่เป็นกุลสตรี จะหาผัวยากเข้าไปอีก แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีผู้หญิงอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่แคร์ ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นผู้หญิงที่ผ่านอะไรต่ออะไรมาโชกโชน แล้วทนความเรียกร้องของธรรมชาติไม่ไหว ก็ต้องดิ้นรนหาผู้ชาย ใครจะว่าเป็นผู้หญิงกี่ผัวก็ช่าง ไม่หนักที่ใส่หมวกของใคร

ผู้หญิงฝรั่งน่ะไม่ต้องไปพูดถึง ไปกันไกลแล้ว บางคนก่อนที่จะมีผัวเป็นตัวตน แม่ก็ต้องทดลองกันเสียจนรสนิยมต้องกันถึงจะแต่งงานกัน เพราะแต่งกันไปแล้วเลิกยาก ถ้าบังเอิญรสนิยมบนเตียงเกิดขัดกันเข้า ผู้หญิงไทยนั้นจะประพฤติอย่างนั้นไม่ได้ สังคมไม่นิยมนับถือ ถ้าไปทำเข้าคนเขาก็ตั้งชื่อให้เป็นดอกไม้อย่างหนึ่งซึ่งมีราคาเป็นทอง

แต่เดี๋ยวนี้เข้ายุคกระสวยอวกาศ ผู้หญิงไทยชักจะก้าวหน้ากันไปมั่งแล้ว ขนาดเปลี่ยนผัวเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า เจ้าหล่อนก็มีเหตุผลของเจ้าหล่อนว่า ใครจะทำไม ฉันไม่ได้ไป ... กันบนหัวใคร เวลาฉันปวดหัวใครจะมาช่วยฉันให้หายปวดได้ นี่ก็เห็น ๆ กันอยู่แยะในสังคมไทยทั้งชั้นสูงและชั้นไหน ๆ

สมัยนี้คำพังเพยที่ว่า หญิงสามผัว คบไม่ได้นั้น จึงใช้ไม่ได้ ยิ่งเป็นหญิงมีเงินด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ใช้เงินซื้อผัวเอาเลยทีเดียว จะกี่คนก็แล้วแต่กำลังเงิน ไม่มีใครในสังคมถือสา มีเงินซะอย่าง แต่ผู้ชายสามโบสถ์ ธรรมเนียบไทยยังถืออยู่ว่า คบไม่ได้ คำว่าโบสถ์นี้ก็ไม่หมายความเฉพาะที่เป็นโบสถ์ในวัดจริง ๆ เพียงแต่เปลี่ยนพรรคบ่อย ๆ ก็เข้าหลักแล้ว ถือว่าเป็นคนโลเล แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีเงินก็ยังถือว่าคบได้ แต่จะคบกันจริงใจแค่ไหนนั้น อีกเรื่องหนึ่ง

ขอโทษที ต้องจบเหอะ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ บอกว่าให้อ่านกันเป็นเรื่องเบา ๆ สมอง อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมัน คิดเสียว่าไม่ใช่เรื่องของเราก็แล้วกัน

อมิตพุทธ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น