เรื่อง ตื่นเมืองนอก
เมื่อซักปี ๒๔๙๓ ท่านอธิบดีเผ่า เจ้านาย หอบหิ้วเอาพวกผมไปเมืองนอก เพราะได้รับคำสั่งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ราชการอันมีความสำคัญสูงสุด คือ ไปถวายความอารักขาแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเสด็จนิวัติพระนครทางเรือ
เจ้านายพาพวกผมไปตั้งหลักที่กรุงโรม นครหลวงของอิตาลี ก่อนจะเดินทางผ่านฝรั่งเศสเข้าสวิตเซอร์แลนด์ทางรถไฟ เราต้องสำรวจเส้นทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินเสียก่อนที่จะปฎิบัติการจริง ๆ
นับเป็นครั้งแรกที่พวกผมได้มีโอกาสไปสูดกลิ่นอายของเมืองฝรั่ง ทุกคนต่างตื่นเต้นกันทั่วหน้า เว้นแต่เจ้านายคนเดียว เพราะท่านเจนเสียแล้ว
ทางสถานทูตไทยที่กรุงโรมจองโรมแรมชั้นหนึ่งให้เราพักกลางใจกรุงโรม ชื่ออะไร ขอโทษ ผมลืมเสียแล้ว
จากสถานีรถไฟก็นั่งรถยนต์ที่่ท่านทูตส่งมารับ มุ่งตรงไปที่โรงแรมที่เขาจัดไว้ให้ ส่วนเจ้านายนั้น ท่านทูตดึงเอาตัวไปพักที่สถานทูต
พอรถจอดที่หน้าโรงแรม พวกเราสี่คนซึ่งมี คุณไล่อัน สิริสิงห์ - พันศักดิ์ - วิชิต แล้วก็ผม ลงจากรถด้วยมาดของชายไทยผู้ตื่นเต้น
ทางเดินของโรงแรมมีพรมอย่างดีปูลาดพื้นทาง ภายใต้ซุ้มกันแดดกันฝนสีสันสวยงาม มีนายทหารแต่งตัวเติมยศ ประดับอินทรนูอันใหญ่ มีดิ้นทองห้อยระย้าอยู่สองข้างบ่า โก้เหมือนเครื่องแบบนายพล
ไอ้เครื่องแบบนี่แหละที่ทำเหตุ พอลงจากรถได้ พวกเราคนหนึ่งในสี่คนก็ปราดเข้าไปหานายทวารคนนั้น ยื่นมือไปจับมือนายทวารแล้วค้อมศรีษะกล่าวคำสวัสดีเป็นภาษาอังกฤษ ห้ามไม่ทัน
ถามไถ่ภายหลัง พวกเราคนนั้นบอกว่า นึกว่าเขาส่งนายพลมาต้อนรับ
ผมน่ะพอจะรู้ว่า นายทวารตามโรงแรมใหญ่ ๆ ที่เมืองนอกแต่งตัวโก้หรูแบบนี้ทั้งนั้น เคยเห็นในหนัง ไม่รู้ว่าพวกเราจะตื่นเต้นขนาดนั้น เลยไม่ทันฉุด แกไปเร็วเหลือเกิน
พวกเราคนนั้น ไม่ใช่พันศักดิ์ ไม่ใช่วิชิต และไม่ใช่ผม นายทวารคนนั้นเมื่อถูกให้เกียรติโดยไม่รู้ตัวก็เลยยืนเซ่อไม่รู้จะว่ายังไง รายนี้อาจเป็นรายแรกของเขาก็ได้ ตั้งแต่เป็นนายทวารมา
ยังมีอีกเรื่องอย่างนี้
พันศักดิ์กับผมพักห้องเดียวกัน พอเข้าห้อง อาบน้ำอาบท่าชำระล้างร่างเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตัวลงมาข้างล่าง เตรียมตัวไปพบเจ้านายที่สถานทูตไทย ทางสถานทูตจะเลี้ยงข้าวเย็นวันนั้น
กินข้าวกินปลากันเสร็จ จากสถานทูตก็กลับโรงแรมเอาประมาณสามทุ่ม ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้อง ไม่มีอะไรจะทำ ถึงจะมีก็คงทำไม่ถูก เปิดประตูห้องเข้าไป ตอนขาออกไปมันยังกลางวันอยู่ กลับมามันมืดแล้ว ผู้ดูแลห้องเขาคงเข้ามาจัดการเปิดไฟและทำที่นอนให้ โดยเลิกผ้าคลุมไว้ให้เพื่อสอดตัวเข้าไปนอนได้
สามทุ่มที่โรมก็เป็นตีสามของกรุงเทพ ฯ มันก็ต้องง่วง ตอนกินข้าวตาก็ชักจะหรี่อยู่แล้ว เพิ่งมาจากกรุงเทพ ฯ หมาด ๆ เวลาในกรุงเทพ ฯ มันก็ยังตามมากับตัว
ทีนี้ตอนจะนอนก้อต้องปิดไฟ มองหาสวิทช์ไฟทั่วห้องก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันเอาไปไว้ที่ไหน
ที่หัวนอนด้านที่พันศักดิ์นอน มีแผงสี่เหลี่ยมหนาขนาด ๒๓ นิ้ว กว้างประมาณ ๔ x ๖ นิ้ว วางอยู่อันหนึ่ง ที่แผงนั้นมีปุ่มอยู่สามปุ่ม สีต่าง ๆ กัน
ไอ้นี่ละวะดับไฟ ไม่ปุ่มใดก็ปุ่มหนึ่ง
กดฉับเข้าให้ปุ่มหนึ่ง .... ไม่ดับ กดอีกปุ่มหนึ่ง ... ไม่ดับอีก กดอีกปุ่มหนึ่ง สามปุ่มครบถ้วน ... แล้วไฟก็ยังไม่ดับ
ช่างมัน ... นอนมันทั้งไฟสว่างยังงี้ละวะ !
พอล้มตัวลงนอนซุกเข้าไปในผ้าห่มสักครู่เดียว ก็มีเสียงเคาะประตู - - ใครมากวนใจอีกล่ะ... ?
ลุกขึ้นถอดล๊อก ดึงประตูเปิดออก ที่หน้าประตูนั้นมีคนสามคนยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
คนแรกเป็นบ๋อย คนที่สองเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่งตัวในชุดทัคซีโด้สีดำหางยาว อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง แต่งชุดกระโปรงสั้นสีดำ มีผ้าดอกไม้คาดที่เอวและบนหัวใส่หมวกเล็ก ๆ สีขาว
ทั้งสามคนยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ แล้วทั้งสามก็ถามว่า " ต้องการอะไร " พร้อม ๆ กัน
" ไม่ต้องการอะไรหรอก ผมอยากจะปิดไฟน่ะ " ผมว่า
คนแต่งชุดทัคซีโด้ก็ก้าวเข้ามาในห้อง เดินไปด้านหลังของหัวเตียง สะกิดอะไรก็ไม่รู้ ไฟในห้องก็ดับ แล้วเขาก็ออกจากห้องไป งับประตูให้ด้วย
ผมคลำดูที่เขาเอื้อมไปเมื่อกี้นี้ ก็พบปุ่มสวิทช์ไฟอยู่ที่นั่น - - หายโง่แล้ว ! เล่นเอามาซุกไว้ยังงั้น ใครจะไปเห็น
คืนนั้นนอนหลับสนิท มาตื่นเอาตอนเช้าพอดี ได้ยินเสียงร้องในห้องน้ำ ไม่รู้ไอ้เพื่อนผมมันตื่นไปเข้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไร
ผมลุกจากเตียงเผ่นไปที่ห้องน้ำ นึกว่ามันเป็นอะไรไป มันบอกว่า " เปล่า ไม่เป็นอะไรหรอก กูไขน้ำจากไอ้ก๊อกปุ่มสีแดงนี่ไว้ได้ครึ่งอ่าง เห็นควันมันฉุยดี โดดลงไปจะแช่ก็ต้องเด้งออกมานี่แหละ เกือบสุกไปทั้งตัว เด้งออกมาเสียทัน แล้วนี่กูจะอาบน้ำยังไงล่ะ "
แล้วมันก็ยืนมองน้ำในอ่างที่ยังส่งควันฉุยอยู่ นิ่งอยู่ ไม่รู้จะทำยังไง
เรื่องยังงี้ยังมีอีกแยะ แล้วผมจะค่อย ๆ เอามาเล่าให้คุณฟัง
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น