จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตลกสังคม เรื่องที่ 4

เรื่อง ตลกสังคม

อาทิตย์นี้เรามาเล่าเรื่องเบา ๆ สมองสู่กันฟังอีกดีกว่า คุณ ๆ จะได้เอาไปเล่าต่อเป็นที่เฮฮากันในโต๊ะเหล้าโต๊ะข้าวในวันพักผ่อนสุดสัปดาห์อย่างนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า ปาร์ตี้โจ๊ก ก็ตลกสังคม ถ้าจะว่าเป็นไทย ๆ กันนั่นแหละครับ วันไหนอาทิตย์ไหนเหมาะ ๆ ผมก็อาจจะเอาเดอร์ตี้โจ๊ก หรือตลกสัปดนมาเขียนให้คุณอ่านบ้างก็ได้ ถ้าบรรณาธิการท่านใจกล้าปล่อยออกมาให้คุณ ๆ อ่านกัน

ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อย่าไปบอกเลยว่าชื่อมหาวิทยาลัยอะไร ท่านศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีหน้าที่บรรยายวิชาสรีรศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับบรรดานิสิตทั้งหญิงและชายทั่วหน้ากัน และศาสตราจารย์ผู้นี้ท่านนี้เป็นนักวิชาการ ท่านก็ไม่มีลูกเล่นลูกล้อที่จะทำให้พวกลูกศิษย์สนุกสนานได้ด้วยคำบรรยายของท่าน ต่างก็เบื่อหน่ายกันทั่วหน้าเมื่อถึงชั่วโมงของท่านศาสตราจารย์ท่านนี้

วันหนึ่งพวกลูกศิษย์ก็นัดแนะกันว่า เมื่อท่านศาสตราจารย์ท่านนี้เข้ามาบรรยาย เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ทุกคนก็จะพากันลุกขึ้นเดินออกจากห้องบรรยายไป โดยเฉพาะลูกศิษย์หญิงทั้งหลาย เพราะท่านศาสตราจารย์ผู้นี้นอกจากจะทำให้บรรยายกาศหงอยเหงาแล้ว ท่านก็ยังมีอายุมาก ไม่เป็นที่รื่นรมย์สำหรับบรรดานิสิตหญิงเลย

ท่านศาสตราจารย์ท่านนั้นก็รู้ถึงนัยอันนี้ และรู้ถึงการนัดแนะของพวกลูกศิษย์ที่จะทำกันในวันนั้นเมื่อถึงชั่วโมงของท่าน แต่ท่านก็ทำเหมือนไม่รู้อะไร คงเข้าห้องบรรยายตามปกติ เมื่อถึงชั่วโมงของท่าน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปตามปกคิ บรรยายวิชาการอันน่าเบื่อหน่ายนั้นอย่างเคย และสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของบรรดาลูกศิษย์อยู่แล้ว ทันทีท่านก็หันเหการบรรยายออกมานอกเรื่องกลางคันว่า

" เห็นเขาว่าที่โคราช ทหารอเมริกันเพิ่มจำนวนขึ้นอีกมาก และทำให้โสเภณีที่นั่นชักจะขาดแคลน ..."

ถึงตอนนี้ บรรดานิสิตหญิงที่เริ่มจะเซ็ง ๆ ก็มองตากันตามที่นัดแนะกันไว้ แล้วก็พากันลุกขึ้นหอบตำราเดินไปทางประตูห้อง

" ประเดี๋ยวก่อน พวกเธอทั้งหลายน่ะ " ท่านศาสตราจารย์พูดขึ้น ชี้นิ้วไปที่พวกนิสิตหญิงเหล่านั้น " รถไฟขบวนที่จะไปโคราช กว่าจะออกก็ห้าโมงเย็นนะเธอนะ "

เรื่องนี้จะให้ชื่อว่า ทีเด็ดศาสตราจารย์ ก็ได้


ทีนี้ก็มาถึงเรื่องคดีหย่าร้างระหว่างผัวเมียที่ทีชื่อในวงสังคมคู่หนึ่ง

ฝ่ายภรรยาฟ้องหย่าสามีด้วยข้อหาหลายประการ ตั้งแต่ความเจ้าชู้ การทอดทิ้งบ้านช่องออกไปหาความสำราญนอกบ้าน แถมยังแอบไปมีเมียน้อยอีก ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายภรรยาก็ยังซื่อสัตย์จงรักภักดีและเสียสละอดทนทุกอย่าง การสืบพยานดำเนินมาจนถึงวันที่ตัวภรรยาผู้เป็นโจทก์จะต้องขึ้นศาลและให้การเป็นพยานตัวเองเป็นพยานสุดท้าย เธอได้ให้การต่อศาล ตอบข้อซักถามของทนายโจทก์ของเธอถึงคุณงามความดีของเธอ และความซื่อสัตย์ที่เธอมีต่อสามีตลอดมา แล้วกลับได้รับการตอบแทนด้วยความไม่ซื่อของสามี ทำให้ทั้งศาลและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีนี้มีความเห็นใจเธอทั่วหน้ากัน เมื่อจบขบวนการฝ่ายโจทก์แล้ว ก็ถึงคราวของฝ่ายจำเลยจะซักค้านบ้าง ทนายจำเลยก็ลุกขึ้นไต่ถามถึงชื่อของเธอ นามสกุล และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีซึ่งเป็นฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นการเปิดฉากการซักถาม แล้วทนายก็เดินกลับไปที่โต๊ะที่นั่งฝ่ายจำเลย หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมายืนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองภรรยาซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ แล้วถามว่า

" คุณโสภีครับ ผมขอให้คุณตอบคำถามของผมต่อไปนี้อย่างจริงใจ และคุณต้องตอบด้วยความจริง เพราะว่าขณะนี้คุณให้การในฐานะพยาน จะให้การเท็จไม่ได้ คุณฟังให้ดีนะครับ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ นี้ คุณได้นั่งแท็กซี่คันหนึ่งไปสองต่อสองกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ไปยังสวนลุมพินี คุณสั่งให้รถแท็กซี่คันนั้นแล่นเลยไปทางเกาะลอย แล้วให้จอดรถไว้ในมุมมืดบริเวณนั้น แล้วคุณก็ไล่ให้คนขับรถแท็กซึ่คนนั้นไปเสียที่อื่น โดยคุณให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เขาไป และไม่ให้เขากลับมาภายในสองชั่วโมง แล้วคุณกับชายหนุ่มคนนั้นก็แสดงบทรักกันในรถแท็กซี่คันนั้นโดยมิได้คำนึงถึงศีลธรรมประเพณีอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งมีคนเดินผ่านคุณไป คุณก็ยังไม่ได้สังเกตหรือรู้สึกตัวทั้งสองคน โปรดตอบผมว่าจริงหรือไม่ "

ใบหน้าของเธอผู้นั้นถอดสี ชั่วครู่เดียว แล้วเธอก็คุมสติได้ เอ่ยเอื้อนวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาเยือกเย็นว่า

" กรุณาบอกดิฉันอีกทีได้ไหมคะว่า วันนั้นเป็นวันที่เท่าไร เดือนอะไรคะ "


ในวงเหล้าวงข้าวที่ค่อนข้างจะมีแต่สมาชิกที่สนิท ๆ กัน ไม่ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยหรือไม่ มักจะมีเรื่องตลก ๆ เบา ๆ สมองมาคุยสู่กันฟัง ย่อยอาหารและทำให้เหล้าเดินหน้าจนลืมว่าจะหมดขวด โจ๊กพวกนี้ฝรั่งเรียกว่า เดอร์ตี้โจ๊ก เราก็ให้ชื่ออย่างไทย ๆ ว่า ตลกสังคม

พ่อหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพาคุณสาวซึ่งจ้องตากันมานานแล้วไปกินเหล้ากินข้าวจนอารมณ์สุกงอมแล้ว ก็พาเจ้าหล่อนมาพักผ่อนที่ห้องพักของเขา ซึ่งแน่ละ ต้องเป็นห้องชายโสด แต่จะเป็นห้องเดียวที่เขามีอยู่หรือไม่นี่ เราไม่ยืนยันหรือนั่งยันนอนยันได้ เขาคงจะได้พยายามที่จะพิชิตหล่อนมานานแล้ว แต่ก็คงจะเป็นแค่ความคิด ใจยังไม่กล้าเอ่ยเอื้อนออกมา ก็เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษจนน่าสงสาร

ในค่ำวันนั้น หลังจากพ่อหนุ่มได้บรรจงปรุงสุราพิเศษให้สาวเจ้าถือในมือแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องพูดอะไรกันให้เด็ดขาดไปเสียที เมื่อได้รวบรวมความกล้าหาญไว้ได้ที่แล้ว เขาก็เอ่ยวาจากับหล่อน ในขณะที่มือหนึ่งโอบหล่อนไว้ อีกมือหนึ่งถือถ้วยมาร์ตินี่ที่กำลังได้ที่อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พลางเขี่ยปอยผมของหล่อนเล่นว่า

" นี่แน่ะ โฉมศรี เธอจะขัดขืนไหม ถ้าฉันจะขอให้เธอเป็นของฉันเสียวันนี้ เดี๋ยวนี้ "

โฉมศรีโปรยนัยน์ตากันน่ารักของหล่อนมองดูเขาแล้วเอ่ยอันซึบซาบของหล่อนออกมาว่า

" ฉันยังไม่เคยเลยนี่คะ "

" ไม่เคยร่วมรสกับใครเลยงั้นเหรอ " พ่อหนุ่มอุท่านออกมาด้วยความผิดหวัง

" พูดบ้า ๆ " โฉมศรีตวัดสายตา " ไม่เคยขัดขืนต่างหากเล่า "

คิดเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้าคุณเป็นพ่อหนุ่มคนนั้น คุณจะทำอย่างไรต่อไป ... ?


ทีนี้ก็มาถึงเรื่องพ่อหนุ่มรุ่นกะทง ผู้ยังไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องพรรค์นี้อีกคน

วันหนึ่ง เขาขับรถพาคู่ควงสาวสวยของเขาไปตระเวณรับลมกันพอสมควรแล้ว ก็มาจอดรถสงบนิ่งอยู่ใต้แสงจันทร์วันเพ็ญที่สถานที่ที่สงบแห่งหนึ่ง เขาลูบไล้เจ้าหล่อนด้วยความพิศสวาท ด้วยมือข้างที่ว่างจากการโอบกอดหล่อนอยู่ เขาลูบเลื่อนมือจากหัวเข่าเปลือยของหล่อนเรื่อยขึ้นไปถึงชายกระโปรง เขี่ยชายกระ
โปรงเล่นและลูบไล้อยู่ที่ตรงนั้น พลางปากก็พร่ำว่า

" ผมรักคุณ รักคุณเหลือเกิน "

เจ้าหล่อนนั่งสะท้านวาบหวิวจากการลูบไล้ของเขา พลางเอ่ยเอื้อนวาจาแผ่ว ๆ ออกมาว่า

" สูงอีกหน่อยซีคะ "

" ผมรักคุณ รักคุณเหลือเกิน " ไอ้หนุ่มตะเบ็งเสียงสูงขึ้นไปอีก พลางลูบไล้อยู่อย่างนั้น

น่ารำคาญไหมคุณ ... ?


ในหมู่คณะของพวกเราต่างก็แปลกใจกันมากที่อยู่ ๆ พ่อยอดชายนายพิภพกับนงคราญเกิดถอนหมั้นกันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่างก็ไต่ถามพ่อตัวดีว่า มันเป็นเพราะอะไร

ยอดชายนายพิภพก็อรรถาธิบายให้ฟังว่า

" เอายังงี้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นคุณ คุณยังคิดที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่มีแต่นิสัยไม่ซื่อสัตย์ โกหกพกลมอยู่ตลอดเวลาไหม และยิ่งกว่านั้น คน ๆ นั้นยังมีแต่ความเห็นแก่ตัว ขี้เกียจ แล้วก็ยังดีแต่พูดจาเย้ยหยันอยู่เสมอ "

" แน่นอน " พวกเราตอบออกมาเป็นเสียงเดียวพร้อม ๆ กัน

" นั่นแหละ " พิภพตอบอย่างอ่อนใจ " นงคราญเขาก็คิดเหมือนกันอย่างนี้แหละ


ว่าจะจบเพียงแค่นี้ แต่นึกถึงความน่าเอ็นดูของเด็กขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ก็ต่อเสียหน่อย

เด็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ สถานที่ที่มีรั้วรอบขอบชิดแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในนั้นเป็นที่ผึ่งแดดของสมาชิกนักนิคมอาบแดด บังเอิญมีรูที่รั้วอยู่รูหนึ่ง เด็กคนหนึ่งก็แอบดูที่รูนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าข้างในมันเป็นอะไร เด็กคนที่ไม่มีโอกาสดูก็ถามเพื่อน

" เห็นอะไรมั่งวะ แกละ "

" คนโว้ย แยะเชียว "

" ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ "

" ไม่รู้ซีวะ มันไม่ใส่เสื้อผ้ากันซักคน "

***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น